5/24/2007

กรุณาส่งต่อ


นานมากแล้ว ได้รับ Forward mail ชื่อว่า "คำสอนจาก Dalai Lama" จากน้องสาวคนหนึ่ง ตัวเนื้อความอธิบายว่าท่าน Dalai Lama ได้กล่าวคำสอนนี้ไว้ตอนต้นปี 2000 เพื่อให้เหล่าสาวกนำไปประพฤติปฏิบัติกัน
ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงเท็จแค่ไหน แต่ชอบ และคิดว่าน่าสนใจ จึงบันทึกเก็บไว้ใน Mail box พอได้มีโอกาสได้ตรวจสอบจัดเก็บข้อความต่างๆ ใน Mail box อีกครั้ง เลยคิดว่าน่าหยิบยกมาให้อ่านกัน คงจะมีประโยชน์กว่าเก็บไว้อ่านคนเดียว
ซึ่งจริงๆ แล้ว Forward mail บทนี้ก็บอกให้ส่งต่อให้มากที่สุดเหมือนกัน แต่ผมมันประเภทไม่เชื่อคนง่าย (อีกอย่างใครก็ไม่รู้ อยู่ๆ มาสั่งกันได้ไงเนี่ย!) เลยแอบเก็บไว้ก่อน ฤกษ์งามยามดีดิถีเข้าเดือนหกจึงนำมาบอกเล่ากัน

ปล. ขอบอกว่าแอบติดใจข้อ 16 มาก

ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิตจาก Dalai Lama

1. ระลึกเสมอว่าการจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน
2. เมื่อคุณแพ้ อย่าลืมเก็บไว้เป็นบทเรียน
3. จงปฏิบัติตาม 3Rs
3.1 เคารพตนเอง (Respect for self)
3.2 เคารพผู้อื่น (Respect for others)
3.3 รับผิดชอบต่อการกระทำของตน (Responsibility for all your actions)
4. จงจำไว้ว่าการที่ไม่ทำตามใจปรารถนาของตน บางครั้งก็ให้โชค
อย่างน่ามหัศจรรย์
5. จงเรียนรู้กฎ เพื่อจะทราบวิธีการฝ่าฝืนอย่างเหมาะสม
6. จงอย่าปล่อยให้การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อยมาทำลายมิตรภาพอันยิ่งใหญ่
7. เมื่อรู้ว่าทำผิด จงอย่ารอช้าที่จะแก้ไข
8. จงใช้เวลาในการอยู่ลำพังผู้เดียวในแต่ละวัน
9. จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลงแต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป
10. จงระลึกไว้ว่า บางครั้งความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด
11. จงดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อที่ว่าเมื่อสูงวัยขึ้น และคิดหวนกลับมาคุณจะสามารถมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำลงไปได้อีกครั้ง
12. บรรยากาศอันอบอุ่นในครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต
13. เมื่อเกิดขัดใจกับคนที่คุณรัก ให้หยุดไว้แค่เรื่องปัจจุบัน
อย่าขุดคุ้ยเรื่องในอดีต
14. จงแบ่งปันความรู้ เพื่อเป็นหนทางก้าวสู่ความเป็นอมตะ
15. จงสุภาพกับโลกใบนี้
16. จงหาโอกาสท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ที่คุณไม่เคยไป
อย่างน้อยก็ปีละครั้ง
17. จำไว้ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดคือความรัก มิใช่ความใคร่
18. จงตัดสินความสำเร็จของตนด้วยสิ่งที่ต้องเสียสละ
19. จงเข้าใกล้ความรักด้วยการปล่อยวาง

5/23/2007

Live is Beautiful!!











ดนตรีบำบัด

ดนตรี คือ ลักษณะของเสียงที่ได้รับการจัดเรียบเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยมีแบบแผนและโครงสร้างชัดเจน สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ 3 ด้านใหญ่ ๆ คือ เพื่อความสุนทรีย์, เพื่อการบำบัดรักษา และเพื่อการศึกษา

ดนตรีมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย จิตใจ และการทำงานของสมองในหลาย ๆ ด้าน จากการศึกษาวิจัยพบว่าผลของดนตรีต่อร่างกาย สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอัตราการหายใจ, อัตราการเต้นของชีพจร, ความดันโลหิต, การตอบสนองของม่านตา, ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ และการไหลเวียนของเลือด จึงมีการนำดนตรีมาประยุกต์ใช้ในการรักษาโรคภัยไข้ เจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ เรียกกันว่าดนตรีบำบัด (music therapy)

ประโยชน์ของดนตรีบำบัดมีหลายประการ เช่น ช่วยปรับสภาพจิตใจ ให้อยู่ในสภาวะสมดุล มีมุมมองในเชิงบวก ผ่อนคลายความตึงเครียด ลดความวิตกกังวล กระตุ้น เสริมสร้าง และพัฒนาทักษะการเรียนรู้ และความจำ กระตุ้นประสาทสัมผัส การรับรู้ เสริมสร้างสมาธิ พัฒนาทักษะสังคม พัฒนาทักษะการสื่อสารและการใช้ภาษา พัฒนาทักษะการเคลื่อนไหว ลดความตึงตัว ของกล้ามเนื้อ ลดอาการเจ็บปวดจากสาเหตุต่าง ๆ ปรับลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม สร้างสัมพันธภาพที่ดีในการบำบัดรักษาต่าง ๆ และช่วยเสริมในกระบวนการบำบัดทางจิตเวช ทั้งในด้านการประเมินความรู้สึก สร้างเสริมอารมณ์เชิงบวก การควบคุมตนเอง การแก้ปมขัดแย้งต่าง ๆ และเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัว

ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/

5/22/2007

Bangsan Drift


- ฉากแรก -

อาทิตย์ก่อนเรียวกังโทรมาชวนไปบางแสน บอกว่าเบบี้บูมกับคณะจะไปหา
ถ้าว่างให้ตามไป
ผมตอบตกลงเรียวกังกลับไปทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด ซึ่งทุกครั้งที่มีใครชวนไปบางแสน ถ้าไม่โดนฉุดดึงด้วยงาน หรือมีธุระผมมักไม่พลาดทริปบางแสนอยู่แล้นน... (เพลงประกอบภาพยนตร์ Tokyo Drift ขึ้น ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง ตึง ตื๊อ ตึ่ง... )

จริงๆ ผมกับบางแสนนั้นถือว่าเข้าขั้นสนิทสนมแนบแน่นกันมากอยู่ เนื่องจากผมไปเรียนรู้การใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยอยู่ที่นั่นเสียกว่าสี่ปี การกลับไปบางแสนทีไรก็เหมือนว่าได้กลับบ้าน รู้สึกผ่อนคลายสบายใจในทุกๆ ครั้งที่คุณพี่โชเฟอร์รถโดยสาร (กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นผมมักจะเดินทางมาที่นี่โดยรถโดยสาร) หักพวงมาลัยเลี้ยวขวาเข้าบางแสนจากแยกแกแล็กซี่
บรรยากาศของการร่ำสุราริมหาดมันช่างสุนทรีย์อย่างที่สุด you know?

- ฉากที่สอง -

“เดี๋ยวพาไปกินต้มเลือดหมูเทพ”
พ่อค้าขายผักผู้เคยคร่ำหวอดอยู่บางแสนเช่นเดียวกับผมซึ่งตามมาทีหลังโพล่งออกมากลางวงที่ยังเต็มไปด้วยของกินจนล้นวง ทั้งกุ้งเต้น ปลาหมึกย่าง
ถั่วปากอ้า และต้มแซ่บกระดูกหมู ฯลฯ
“..ม่าย..หวาย..แล้ว..”
อดีตพลทหารหนึ่งในคณะทัวร์ตอบทั้งคำพูดและร่างกายที่เห็นพ้องกันกับวลีที่เพิ่งเอ่ยออกไป พร้อมทิ้งกายลงบนโขดหินเหมือนเพิ่งถูกจำหน่ายจากการฝึก

ในขณะที่คณะทัวร์ที่เหลือยังมีพลังสำรองนั่งกินดื่มกันต่ออย่างเมามันส์ (นี่คือที่มาของคำๆ นี้ คือทั้งเมา และมันส์) จนฝนต้องไล่เรากลับอย่างที่ห้ามมีการอ้อยอิ่งใดๆ ทั้งสิ้นราวตีหนึ่งเศษ เป็นอันสมควรแก่เวลาพอดี แต่ดูเหมือนพี่พ่อค้าขายผักจะพลาดอาหารชั้นเทพที่นำเสนอ
“ขอบคุณฝน” ผมเดาว่าอดีตพลทหาร และอีกสองสามคนคงคิดในใจ

คณะทัวร์ครั้งนี้เริ่มภารกิจ (หรือถ้าจะให้ถูกน่าจะเรียกว่า “กิจภาระ” อันหมายถึงกิจที่เป็นภาระ จะเหมาะกว่า) การซดเบียร์ตั้งแต่ตะวันยังไม่จมน้ำทะเลที่ชายหาด จากนั้นพอฟ้ามืดจึงเคลื่อนทัพสู่ร้านอาหารริมหาดตรงเชิงเขาสามมุก ซึ่งนำทัพโดยเด็กผีสองท่าน เป้าหมายของกิจภาระครั้งนี้คือเกมฟุตบอลคู่ชิงชนะเลิศเอฟ เอ คัพที่ปีศาจแดงจะฟัดกับสิงโตสีน้ำเงินครามที่สนามเวมบรีย์ใหม่ในกรุงลอนดอนเมืองผู้ดีประเทศอังกฤษ

ผลการแข่งขันที่ออกมาทำให้ผู้ขับซึ่งเป็นเด็กผีเซ็งไปเลย เพราะทีมรักโดนไอ้แมงสาบดร๊อกบา กระดกบอลอย่างเหนือชั้นจากการเล่นหนึ่งสองกับแลมพาร์ท ข้ามตัวเอ็ดวิน ฟาน เดอซาร์ ประตูผี (ที่ไม่ใช่ผัดไทย) เข้าไปในช่วงครึ่งหลังของการต่อเวลาพิเศษ
“!!#$##%&!!!”
ผู้ขับบ่นอุบพร้อมกับซดเบียร์ที่ผ่านการกดจากแท้ปที่สามของคืนตาม พลางเคี้ยวกับแกล้มรสเด็ดประจำร้านที่มีชื่อกวนบาทาว่า “ขออีกจาน” (ซึ่งเอาเข้าจริงๆ น่าจะตั้งไว้เพื่อกวนตีนเด็กเสิร์ฟกันเองมากกว่าลูกค้า)
พอบอลจบคณะทัวร์จึงเคลื่อนย้ายกองกำลัง (เมา) ไปยังหาดวอนฯ
ปลายทางของคนเมา

- ฉากที่สาม (ฉากสุดท้าย) -

แสงแดดลอดสอดเข้ามาในห้อง ทำให้ผมตื่นฟื้นตัวเองจากพื้นห้องสี่คูณสี่ที่นอนอัดกันอยู่เจ็ดหน่อ (ที่ใช้หน่อเพราะเป็นชายฉกรรจ์ล้วนๆ!!) สู่เช้าวันอาทิตย์
ไม่นานนักเรียวกัง, เบบี้บูม, ชายว่างงานและอดีตพลทหารก็ทยอยกันเปลี่ยนสถานะจากผู้หลับใหลมาเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานตามผมซึ่งเบิกบานอยู่ก่อนแล้ว เหลือเวรอนกับผู้ขับที่ยังคงหลับต่อ

หลังจากเรา (ผู้ตื่น ผู้เบิกบานทั้งหลาย) กลายเป็นผู้เบิกบานกว่าเก่าจากการเข้าห้องน้ำล่างหน้าล้างตากันเสร็จแล้วก็ได้เวลาย้ายก้นไปหย่อนที่ชุดโต๊ะม้าหินที่แหลมแท่นเพื่อกินกาแฟกัน (ใช้กินได้อารมณ์กว่าทานเยอะเลยเนาะ) แม้จะสายกว่าที่ตั้งใจไปนิดหน่อยแต่ยังถือว่ายังอนุโลมเรียกว่าอยู่ในช่วงเช้าได้

กาแฟร้อนกับไข่ลวกสี่ชุด ร่วมด้วยชาร้อนหนึ่งแก้ว คืออาวุธคู่ปากเราในการร่ายบทสนทนาต่างๆ นานา ทั้งเรื่องเพื่อนพ้อง, การท่องเที่ยว, ข่าวชาวบ้าน, งานศิลปะ, พระเครื่อง รวมถึงเรื่องเพศ ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยแลกแปลี่ยนทัศนะกันบนโต๊ะม้าหินตัวนั้น

บทสนทนาเช้าวันนั้นมันช่างออกรสดีจริงๆ

5/19/2007

แอม ไฟนน์ Sabai Dee












Luang Prabang

Luang Prabang, or Louangphrabang, is a city located in north central Laos, on the Mekong River about 425 km north of Vientiane, and the capital of Louangphrabang Province. The current population of the city is about 22,000. The city was formerly the capital of a kingdom of the same name. Until the communist takeover in 1975, it was the royal capital and seat of government of the Kingdom of Laos. The city is also notable as a UNESCO World Heritage Site.

5/17/2007

See Scape





"ออกไปมองฟ้าและน้ำที่กว้างใหญ่
ให้ได้กลิ่นดินที่ลมนั้นพัดเข้ามา จากสุดไกลตา
โลกอันกว้างใหญ่ เรามันแค่ใคร...


แค่ออกไปมองฟ้าและน้ำที่กว้างใหญ่
ให้ได้กลิ่นดินที่ลมนั้นพัดเข้ามา จากสุดปลายฟ้า
โลกอันกว้างใหญ่ เลือกทางที่ไปของเธอ..."

บางส่วนของบทเพลง "See Scape" ศิลปิน Scrubb อัลบั้ม Club
ใครยังไม่เคยฟัง ลองไปหาฟังดูล่ะ

My-Mine-Mind


“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า เด็กวัยรุ่นไทยห่างเหินจากพระพุทธศาสนา ไม่เข้าใจกฎไตรลักษณ์ หากถามเด็กเหล่านั้นว่ารู้จักกฎไตรลักษณ์หรือไม่
คงไม่มีใครตอบได้
“ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจอนิจจัง ทุกอย่างไม่เที่ยง จะชอบอะไรต้องรู้จักชอบ
ไม่ใช่ชอบหัวปักหัวปำ หรือเกลียดอะไรอย่างสุดขั้ว
“จุดนี้สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวของการศึกษาไทย ที่เน้นแต่เทคโนโลยีวิชาการ ที่จะต้องเป็นหนึ่ง แต่ขาดการปลูกฝังทางศาสนา และการใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง ทำให้เด็กเราโง่ในการใช้ชีวิต”

พระพิศาลธรรมพาที (พระพยอม กัลยาโณ)
ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ในมติชนรายวัน 13 ส.ค. 46 เรื่องวัยรุ่นไทยกับการป่วยของบิ๊ก ดีทูบี


------------

บ่ายวันก่อนพิ้งกี้แบร์ชวนผมไปเดินเลือกซื้อของที่วันสวนแก้ว เธอบอกว่าถ้าไปแล้วผมต้องชอบแน่ๆ อาจจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับบ้านแน่นอนเพราะที่นี่มีเฟอร์นิเจอร์ของเก่า และเสื้อผ้ามือสองที่เก๋เอามากๆ เอาอุ้งเท้าสีชมพูหม่นๆ ของเธอเป็นประกันได้เลย

ราวบ่ายโมงเรา (ผมกับพิ้งกี้แบร์) ก็มาถึงวัดซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้อยู่ไกลจากตัวเมืองอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก
เป้าหมายของเราอยู่ที่ชั้นสี่และชั้นห้าของอาคารโครงการซุปเปอร์มาเกตผู้ยากไร้ ซึ่งเป็นแหล่งเสื้อผ้ามือสองที่พิ้งกี้แบร์คุยให้ฟังว่าเธอและเพื่อนได้ ’ของดี’ จากที่นี่ไปหลายชิ้นแล้ว

โครงการซุปเปอร์มาเกตผู้ยากไร้ เป็นหนึ่งใน 12 โครงการของมูลนิธิสวนแก้ว* วัดสวนแก้ว เริ่มจัดเมื่อปี 2537 เป็นที่รวบรวมเสื้อผ้าอาภรณ์ข้าวของเครื่องใช้ที่ญาติโยมผู้ใจบุญได้บริจาคให้กับทางวัด (ขอบอกว่าเยอะมากกก) รายได้จากตรงส่วนนี้ก็จะเข้าวัดเพื่อนำไปใช้สอยในโครงการต่างๆ ต่อไป ซึ่งซุปเปอร์มาเกตผู้ยากไร้นี้หากว่าไม่มีเงินก็สามารถซื้อได้ โดยการมาช่วยพัฒนาวัดตามความสามารถแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งทางวัดบอกว่าการช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นการสอนให้ทุกคนเห็นคุณค่าของเงิน และสิ่งของที่ผู้ใจบุญบริจาคให้ หากได้รับการช่วยเหลือที่ง่ายเกินไปสิ่งนั้นจะดูด้อยค่า ไม่สมกับน้ำใจที่ญาติโยมให้มา สิ่งของที่ได้มาโดยยากลำบาก ย่อมทำให้เกิดความทะนุถนอมและมีค่า

เราเดินดูเสื้อผ้ากันอยู่สักพักพิ้งกี้แบร์ก็ขอตัวไปลุยกับภูเขาเสื้อผ้ามือสองกองมหึมาด้านมุมอาคาร ซึ่งมีเด็กสองสามคนกำลังปีนป่ายอยู่บนภูเขาเสื้อผ้ามือสองอย่างสนุกสนานอยู่ก่อนแล้ว พิ้งกี้แบร์สำรวจพื้นที่อยู่พักหนึ่งก่อนขวักมือเรียกผมให้ตามขึ้นไป

หลังจากนั้นราว 60 นาที เสื้อสิบตัว กางเกงขาสั้นหนึ่งตัวที่พิ้งกี้แบร์กับผมขุดขึ้นมาจากภูเขาลูกนั้นก็มาอยู่ในมือของเราทั้งสอง สนนราคา 110 บาทไทย สภาพเสื้อผ้าที่เราได้มานั้นเรียกได้ว่าอยู่ในขั้นดีถึงดีมาก (แน่นอน ก็ใช้เวลาขุดกันอยู่นานนี่)

เสื้อผ้ามือสอง ของใครก็ไม่รู้...

*มูลนิธิสวนแก้ว ประกอบด้วยโครงการทั้งหมด 18 โครงการ
1. โครงการบวชเณรภาคฤดูร้อน
2. โครงการเข้าค่ายอบรมจริยธรรม
3. โครงการร่มโพธิ์แก้ว
4. โครงการเวทีบำเพ็ญประโยชน์
5. โครงการลอกคราบ
6. โครงกระบอกสำรอกกิเลส
7. โครงการเพื่อน้องท้องหิว
8. โครงการรณรงค์ผู้ไม่รู้หนังสือให้มีโอกาสได้เรียน
9. โครงการสลบมาฟื้นไป
10. โครงการบ้านพักคนชรา
11. โครงการสะพานบุญจากผู้เหลือเจือจานผู้ขาด
12. โครงการซุปเปอร์มาเกตผู้ยากไร้
13. โครงการสวนแก้วเนอร์สเซอรี่
14. โครงการเพื่อการเกษตร และสิ่งแวดล้อม
15. โครงการบ่อหมักสิ่งปฏิกูลตามแนวโครงการพระราชดำริฯ
16. โครงการบ้านทักษะชีวิต
17. โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช
18. โครงการคอนโดสุนัข

ที่มา: http://www.suankaew.org/

5/16/2007

Chunking Express










love me love my dogs





LOVE ME LOVE MY DOG
- Peter Shelley -

Freedom is a dusty road heading to a highway
California skyways, freedom's where we wanna stay
Suddenly a summer breeze breaks a misty mornin
There's a new day dawnin we'd better be on out way

So love me, love my dog
We've lived the road too long to break up
Love me, live my life
And travel through this land
I can't leave a friend I promised that before we started
So love me, love my dog, if you can't understand
Then we'll head up land

When I leave this town today
Lord you know I'll miss you baby, I won't kiss you
You'll only make me wanna stay
Though it's hard to say goodbye
Can't you see it's over, yes, I'm just a loner
Heading on his way, I'll tell you now

So love me, love my dog
We've lived the road too long to break up
Love me, live my life
And travel through this land
I won't leave a friend I promised that before we started
So love me, love my dog, if you can't understand
Then we'll head up land

So love me, love my dog
We've lived the road too long to break up
Love me, live my life
And travel through this land
I won't leave a friend I promiser that before we started
So love me, love my dog, if you can't understand
Then I guess we won't
Have to move on out up land
Com on baby...