5/28/2009

โด่งไม่รู้ล้ม

- 1 -
“รูปสวยมากฮะ”
สุภาพบุรุษจากหลังสวนคงได้รับรูปและกางเกงยีนส์สีดำเข่าขาดขนาดเอว 38 ที่ลืมไว้ที่บ้านงานเมื่อคราวขึ้นมาร่วมฉลองมงคลสมรสที่ลำพูนเรียบร้อยแล้ว ถึงได้ฤกษ์โทรมาหาผม
“ที่ว่าสวยน่ะ รูปที่กูถ่ายพวกมึงหรือเพื่อนเจ้าสาว?”
ผมเย้ากลับไปทางปลายสาย
“แหม.. รูปสิฮะ รูปสวยมากฮะ”
เสริมศักดิ์น่ารักก็ตรงที่ชอบลงท้ายประโยคด้วยหางเสียงว่า “ฮะ” นี่แหละฮะ

- 2 -
ลำบากกูอีก— ผมพึมพำพอเป็นพิธีแล้วยื่นสมุดโน้ตให้ไอ้โด่งจดที่อยู่ให้
เพราะเป็นผมที่ต้องส่งรูปที่ถ่ายไว้ตอนงานแต่งไปให้มันที่หลังสวน ชุมพร
ด้วยสาเหตุที่ว่าสุภาพบุรุษท่านนี้ไม่มีอีเมลแอดเดรส และไม่สันทัดในการเข้าใช้บริการอินเตอร์เนต (ในทุกกรณี) นัก มันเคยเล่าให้ฟังว่าเขิน เวลาที่มันเดินเข้าร้าน’เนต แล้วเจอพวกเด็กเกรียนแถวนั้นร่วมสิบที่นั่งเล่นเกมส์’คอมอยู่หันมาร้องทักมัน และเหมาเอาเองเสร็จสรรพว่ามันมาใช้’เนตดูเว็บโป๊

“เอาแค่ที่มีรูปกูกะพวกมึงก็พอนะฮะ”
ไอ้โด่งย้ำก่อนยื่นสมุดโน้ตคืนให้กับผม แต่ยังไม่ปล่อยมือ..
“อ้อ.. รูปเพื่อนเจ้าสาวด้วยนะฮะ คนที่ออกทอมๆ น่ะฮะ”
มันขีดเส้นใต้เน้นย้ำกับผมอีกทีด้วยสายตาที่ยิ้มหยี

- 3 -
เราจบม. ปลายที่ศาลายามาด้วยกัน ก่อนที่สายลมอุดมศึกษาจะพัดพาผมและเพื่อนๆ ในกลุ่มก๊วนกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง.. ต่างไปจากเสริมศักดิ์ที่ยืนปักหลักท้าทายแดดลม

มัน ‘กล้า’ และ ‘แกร่ง’ พอที่จะสั่งสายลมที่ว่าให้ช่วยพัดพามันกลับมาตุภูมิ เพื่อสืบทอดกิจการปั้มน้ำมัน (ที่ค่อนข้างร้าง) ของทางบ้าน
ช่วงนั้นเราพอรู้กันมาคร่าวๆ บ้างว่าทางบ้านมันมีปัญหาที่ต้องเร่งสะสางให้แล้วเสร็จในเร็ววัน และผู้คนทางโน้นนั้นก็ดูท่าว่าจะสาหัสเอาการ

ลูกชายตัวโตๆ คนเดียวมีหรือจะดูดาย

หลังจากนั้น 2 ปี มีสายข่าวของเรารายงานว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับนายเสริมศักดิ์หรือไอ้โด่งของเรา
สายรายงานต่อว่าชาวบ้านร้านตลาดที่นั่นต่างเลื่องลือถึงเพื่อนเราคนนี้ และขนานนามให้มันเสียใหม่ในชื่อ “เซียนโด่ง”

ฉายา “เซียนโด่ง” นั้นไม่เกี่ยวกับการห่มขาวนั่งชันเข่าและสั่นเพราะองค์ลงเพื่อปัดเป่าพวกผีร้ายที่มาสิงสู่ชาวบ้านหรือเอาเหล็กปลายแหลมทิ่มแทงกระพุ้งแก้มแล้วเดินอาดอวดความหนังเหนียวตามท้องถนนแต่อย่างใด
แต่ “บ่อนไก่ชน” นั่นต่างหากเล่า คือที่มาของสมยาเซียน

ภายในระยะเวลา 2 ปี ไอ้โด่งได้ก้าวขึ้นเป็นเซียนไก่ชนในระดับท้อปไฟว์ของหลังสวนอย่างไร้คำครหาใดๆ ด้วยฝีมือของมันเอง
และแน่นอน— ไก่ (ซึ่งเป็นกำลังหลัก) ของมันด้วย

- 4 -
ผมและเพื่อนๆ เคยไปเยือนหลังสวนครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว
รอบนั้นเซียนโด่ง (ตอนที่เราไปกันนั้นมันได้เปลี่ยนสถานะไปอยู่โหมดเซียนเรียบร้อยแล้ว) หอบหิ้วคณะเราไปชมการแข่งขันเรือยาวประเพณีขึ้นโขนชิงธงที่แม่น้ำหลังสวน

บรรยากาศภายในงานวันนั้นก็อัดแน่นและคับคั่งไปด้วยความสนุกสนานและสำราญใจสมกับที่จัดขึ้นนานทีปีหน
น้ำเสียงอันดุดันเร้าใจของคุณพี่ผู้บรรยายที่หายใจทางผิวหนังได้วันนั้นช่วยสร้างและเสริมเสียงหัวเราะให้กับคณะเราอย่างแรง

ตกเย็นเราก็ล้อมวงปิ้งย่างรอบกองไฟในสวนหลังบ้านของเซียนโด่งกันตามวิสัยของวัยหนุ่มไปกันจนดึกดื่น จำได้ว่าหลังจากคืนนั้นก็เล่นเอาพวกเราหลายคนเอือมระอากับ “กั้ง” ที่เราไปเหมาเอาจากแม่ค้าเสียหลายกิโลเพื่อมาย่างกินเป็นกับแกล้มจากที่ในตลาดกันไปอีกนาน

ก่อนกลับผมถ่ายรูปหมู่เพื่อนๆ เก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก
ซึ่งมันเป็นรูปถ่าย (ด้วยกล้องฟิล์ม) ที่ผมชื่นชอบมากที่สุดใบหนึ่งเท่าที่เคยถ่ายมา เพราะไม่ว่าจะดูกี่รอบๆ ผมก็ยังคงได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเราในรูปใบนั้นทุกครั้งไป

มันดูมีชีวิตชีวาดีจริงๆ

- 5 -
ครั้งล่าสุดที่เราพบเจอ
เสริมศักดิ์ยังคงเป็นเสริมศักดิ์ หรือไอ้โด่งคนเดิมคนเดียวกันกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
และก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย (นอกจากสถานะเซียน)

มันยังคงเป็นไป และดำเนินอยู่ในเส้นทางของมันเอง

“ไม่ทราบว่าเป็น...ไรฮะ” คำทักของมันยังคงไม่ใส่ผักชีเหมือนเดิม
ไอ้โด่งถามผมเมื่อเห็นผมนั่งซึมลึกเล็กน้อยในคืนค่ำที่ใจชำรุด
ผมตอบมันไปว่าไม่มีอะไร
แต่ถ้าคุณไม่ใช่คนประเภทที่เต่าตุ่นจนเกินไปนัก คุณก็น่าจะรู้ใช่ไหม ว่าถ้าลองใครมีอาการอย่างว่าแล้วบอกตอบกับคุณไปว่า “ไม่มีอะไร” นั่นน่ะ มันหมายความว่าร้อยทั้งร้อยนั้นเชื่อเถอะว่ามันต้อง “มีอะไร” แน่ๆ

แล้วในเวลาที่สายลมโชยมาเบาๆ พอให้รู้สึกได้ถึงความเย็นสบายในคืนขึ้น 14 ค่ำของเดือน 3 บนสะพานเหล็กสีดำที่ดูคล้ายจะก้าวร้าว แต่ก็ทอดร่างอย่างสงบคอยเชื่อมความสัมพันธ์ที่เคลื่อนไหวไป- มา อยู่เหนือความเรรวนแต่ชวนให้ลุ่มหลงของแม่น้ำปิงนั้น สุภาพบุรุษจากหลังสวนก็เหนี่ยวคอผมไปกอดแล้วพูดกับผมในแบบที่ผมไม่คาดคิดว่าจะได้ยินอะไรทำนองนี้ออกมาจากปากผู้เพื่อน

“ยังซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองอยู่รึเปล่าฮะ”
เป็นคำปลอบโยนเชิงถามไถ่ในแบบผู้ใหญ่ๆ ที่ฟังแล้วรู้สึกดีชะมัด

.........

โด่งฮะ (และผู้ที่ร้อนตัวทุกท่าน)
ขอบคุณสำหรับ “มิตรภาพ” ที่ไม่เคยจืดชืดตลอด 10 ปี
มันเป็นภาพที่สวยงามมากเช่นกัน

5/18/2009

ในวันที่อากาศเปลี่ยนไป


ที่นี่ที่ไหนกัน?
สวรรค์หรือ?
หมอกจางๆ เหล่านี้มันยังไง?
เมฆรึเปล่า? แล้วยอดฉัตรเป็นชั้นๆ นั่นล่ะ
บอกตรงๆ ว่าผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย
เฮ้! นี่มันหมายความว่าเราตายกันแล้วใช่มั้ย!?
หรือฝัน?

ผมทดลองพิสูจน์สมมุติฐานที่เกิดขึ้นอย่างมากมายโดยการเอื้อมมือไปหยิกแก้มอิ่มๆ ของเอไอ (Ai) ที่ยืนจังงังอยู่ข้างๆ แล้วบิดวนขวาทักษิณาวัตรเป็นเกลียว
“เชี้ยไรเนี่ย! เจ็บนะเว้ย!”
สาวผิวขาวเสียงห้าวไว้ผมสั้นสบถใส่ผม แล้วกระชากแก้มเธอออกไป
“เจบเหรอ?..” ผมถามแผ่วเบา
“เชี้ย! เจ็บสิวะ!” เอไอยังคงสบถใส่ก่อนตอบ
“ถ้างั้นเราก็ยังไม่ตาย— ที่นี่ที่ไหน?”
ผมยังคงถามเอไอด้วยน้ำหนักเสียงเท่าเดิม แต่แอบเพิ่มความรู้สึกสงสัย และไม่แน่ใจนักในสิ่งที่ประจักษ์เข้าไปด้วย
“ห่ะเอ๊ย! แล้วไม่เสือกหยิกแก้มตัวเองวะ! มาหยิกแก้มกูทำส้นตึกไรเนี่ย
เชี้ยเอ๊ย!... แล้วอีกอย่างถ้าคนอย่างมึงตาย มึงก็คงตกนรก ไม่ได้มาเห็นอะไรเจ๋งๆ อย่างนี้หรอก ที่นี่บาหลีโว้ย! บาหลี! ยูโน้ว บาหลี!”
เอไอตอบคำถามผมด้วยเสียงฉาดฉานพร้อมๆ กับที่มือข้างหนึ่งเกาแก้มข้างที่ผมหยิก (และบิด) ไปด้วย
เธอคงเจ็บจริงๆ

………

มันมหัศจรรย์ และช่างเป็นวันที่สุดแสนจะอัศจรรย์ใจในชีวิตสั้นๆ ของผมบนโลกปุปะสีฟ้าใบใหญ่ที่เกือบกลม (และดูเหมือนจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ) ใบนี้

ยากเหลือเกินที่จะสาธยายขยายความให้ได้อรรถรสครบถ้วนไม่ให้ตกหล่นถึงสิ่งที่ปรากฎ ว่าท่ามกลางบรรยากาศที่สงบและศักดิ์สิทธิ์คลอด้วยเสียงสวดมนต์ประกอบพิธีกรรมของบรรดาชาวบ้านชายหญิง คนเฒ่าคนแก่และเด็กเล็ก โดยฝ่ายชายนั้นสวมใส่อาภรณ์สีขาว โพกหัว นุ่งสโร่งและมีผ้าคาดเอว ส่วนหญิงนั้นสวยพิเศษกว่าด้วยลวดลายของลูกไม้บนเสื้อแขนยาวในสีเดียวกัน เทินถาดผลไม้และอาหารคาวหวานบนศีรษะเดินไปมา, กรุ่นกลิ่นกำยานที่ฟุ้งสยายกระจายไปทั่วอาณาบริเวณ, บนพื้นดาษดาด้วยกระทงดอกไม้หลากสีสำหรับบูชาเทพยดาฟ้าดิน รวมทั้งเงาลางๆ ของเจดีย์ที่มียอดฉัตรเป็นชั้นๆ หลายสิบยอดเสียดแทงขึ้นสู่ท้องนภาเบื้องบนที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกของวัดอูลัน ดานู บาตูร์ (Pura Ulan Danu Batur) บนยอดเขาที่หมู่บ้านคินตามณี ริมทะเสสาบบาตูร์ บนเกาะบาหลีที่ผมเห็นอยู่เบื้องหน้านั้นมันทำให้รู้สึกและพอจะเข้าใจในศรัทธาของผู้คนที่นี่อย่างไร

กับในวันที่เพิ่งจากมาโดยที่ยังไม่หมาดดี
ผมนึกทวนในใจอีกครั้งว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
ที่ว่าผมเคยยืนเปียกปอนไปด้วยอารยธรรมของเอเชียอาคเนย์อยู่ที่นั่น
ในวันที่อากาศเปลี่ยนไป

5/06/2009

^____^

กลับมาแล้ว!!
ไปแอ่วเจียงใหม่มา (อีกแล้ว)
มีข่าวมาฝากด้วย
ในนี้ —> http://www.4toart.com/showwinner.php?uid=5182

อื้อ นั่นแหละ~*

.........

ป.ล. 1 ใครงงไม่ต้องยกมือ ให้ตามไปดูได้ที่นี่ http://1306ix.blogspot.com/2009/04/blog-post_21.html

ป.ล. 2 น้ำมะตูม, น้ำกระเจี๊ยบ และน้ำมะขาม ที่ชุมชนหมื่นถ้อยน้ำงามนั้นหวานจ๊ะนัก ^^