7/19/2011

บั้งไฟ กับหิมาลัยในร้านเล็กๆ


- 1 -
หลังนมัสการพระธาตุแม่เย็นแล้ว เราก็ลงจากเขา แวะนั่งยองๆ ดูบั้งไฟในเทศกาลเข้าพรรษากับชาวบ้านแถวนั้นท่ามกลางสายฝนที่ลงเม็ดเบาๆ
เท่าที่ผมพอรู้มาทางอีสานเขาจุดบั้งไฟกันเพื่อขอฝน แต่ที่นี่น่าจะไม่ เพราะช่วงนี้ที่ปายนั้นฝนตกตลอดเวลาโดยที่ไม่ต้องมีการจัดพิธีขอใดๆ อยู่แล้ว

ในสองบั้งแรกผมพยายามเพ่งเล็งไปยังจุดที่จุด ทว่าไม่สำเร็จ ผมมองจุดจุดบั้งไฟแต่ไม่เห็นเลย ฐานมันถูกจัดขึ้นที่เขาอีกลูกหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไปหลายสิบกิโลฯ จนชาวบ้านที่นั่งข้างๆ นั้นช่วยไกด์บอกให้หลังจากเห็นอาการเพ่งที่ผิดพลาดซ้ำซากของผม ว่าเห็นยอดไม้โด่ๆ เดี่ยวๆ เขียวๆ นั่นไหม จากนั้นให้มองถัดไปทางซ้ายอีกเล็กน้อย จะเห็นยอดธงเล็กๆ สีส้มๆ อยู่ – นั่นแหละจุดจุด
ผมปรับแนวสายตาตาม และเข้มงวดกับโฟกัสมากขึ้นจึงเห็นต้องตามนั้น ทันเวลากับอีกสองบั้งสุดท้ายพอดิบพอดี (ชาวบ้านบอกว่าเขาจุดกันประมาณสามสิบลูก) ใจพลางนึกชื่นชมในสายตาของชาวบ้านที่นั่งชมกันอยู่ที่นั่น ซึ่งกว่าครึ่งนั้นแม้ว่าจะชราแล้ว แต่สายตาและวิสัยทัศน์ยังอยู่ในระดับยอดเยี่ยม

เท่าที่เห็น บางบั้งก็พุ่งเอียงเกินไป หางส่ายไปมา ไปไม่ถึงยังหมู่เมฆฝนเบื้องบนเพราะทำมุมทะยานขึ้นได้ไม่ดีนัก
บางบั้งก็พุ่งสูงขึ้นอย่างสวยงามเหมือนพญานาคโจนทะยานจากแม่น้ำปายขึ้นสู่ฟากฟ้า และค่อยๆ หายวับลับเข้าไปในกลีบเมฆ

งามแท้ เป็นบุญตาของเราจริงๆ

- 2 -
ร้านเล็กๆ ที่ชื่อ “ร้านเล็กๆ” นั้นตั้งอยู่ลึกๆ ในเส้นทางไปพระธาตุแม่เย็น ถ้าผมจำไม่พลาด นับจากตัวพระธาตุลงมาจะเป็นโค้งที่สอง ผมและอายูมิขี่รถผ่านมันไปในขาขึ้น ทดมันเอาไว้ในใจก่อน และตกลงกันว่าจะแวะนั่งเล่นกันที่ร้านในขาลงจากพระธาตุฯ

ในตอนที่ไปถึงนั้นไม่มีคนอยู่ที่ร้าน มีเพียงแมวน้อยคนละสีสองตัวนอนหลับรับแขกอยู่บนเบาะนั่งพื้นหน้าร้าน
มีใครอยู่ไหมครับ – ผมร้องเรียกเสียงกึ่งดังกึ่งเบาแต่ไม่ถึงกับตะโกน
..... เงียบ และเงียบอย่างต่อเนื่อง ผมหันไปถามอายูมิว่าเอาอย่างไรดี นั่งเล่นรอไหม เพราะที่นี่มีหนังสือดีๆ ให้อ่านเล่นและรูปถ่ายสวยๆ ในรูปแบบโปสการ์ดอยู่เพียบ เธอตอบตกลงแทบจะทันที จากนั้นเราก็นั่งเล่นที่ร้านอยู่เป็นนาน

ราวสี่สิบนาทีต่อมา “พี่เล็ก” เจ้าของร้านก็ปรากฎ แกเดินออกมาจากบ้านที่อยู่หลังร้าน บอกว่าได้ยินเสียงแว่วๆ อยู่ แต่นึกว่าเสียงร้องเรียกของร้านตรงข้าม ไม่นึกว่าจะเป็นร้านแก และทะลึ่งนั่งรอ (คำว่า ‘ทะลึ่ง’ นั้นผมระบายสีเองเพื่อความทะเล้นของความเรียงชิ้นนี้) แล้วเราก็ร่วนหัวเราะกัน

อายูมิสนใจ EP ทำมือที่มีปกเป็นรูปเป็ดของทางร้าน และอุดหนุนทันทีหลังจากที่พี่เล็กลองเปิดให้ฟัง พี่เล็กบอกว่าแฟนแกร้องและแต่งเองสนุกๆ เวลาว่างเว้นจากงานหลัก แต่เท่าที่ผมฟังนั้นดนตรีไม่ธรรมดาเลย ออกจะเพราะ
เราสั่งน้ำกันคนละแก้ว กับบลูเบอร์รี่เค้กที่พี่เล็กแนะนำ และเสริมว่าปกติไม่ได้ทำทุกวัน จะทำเฉพาะบางวันที่นึกครึ้มเท่านั้น
นั่นแลที่เป็นสาเหตุให้เราสั่งไป ...ในวันที่ฟ้าครึ้มๆ และมีฝนปรอยๆ

สักพักพี่เล็กก็เดินเอาน้ำเปล่าสำหรับเติมมาเสิร์ฟให้
“พี่เพิ่งไปฮันนีมูนที่เนปาลมา” พี่เล็กเริ่ม (ใช่ – พี่เป็นคนเริ่มเองนะ)
แล้วเราทั้งสามก็สานต่อบทสนทนานั้นกัน

- 3 -
เนื้อหาส่วนใหญ่ที่พูดคุยกันนั้นมีจุดเชื่อมโยงใหญ่ๆ เดียวกันคือ “หิมาลายา”
อายูมิเพิ่งผ่านแชงกรีลามา สำหรับผมเป็นหิมาลัยในเสี้ยวหนึ่งของสิกขิม ส่วนของพี่เล็กนั้นเป็นโคตรวิวหิมาลัยตัวพ่อจากปุณฮิลล์ที่เนปาล

แน่นอน – เราตื่นเต้นไปกับในทุกเรื่องราวที่พี่เล็กเล่าให้ฟังพร้อมรูปประกอบที่พี่แกเปิดให้ดูเพราะเป็นทริปในฝันของเราทั้งสอง อายูมินั้นตั้งใจว่าจะไปปีหน้า พี่เล็กกระซิบบอกว่าเราได้เห็นเป็นรายแรกๆ เลยเพราะเพิ่งเลือกรูปเสร็จจากหลายร้อยรูปที่ถ่ายไว้ จึงต้องใช้เวลาคัดสรรพอสมควร ก่อนจะเผยแพร่ให้แฟนๆ ของทางร้านกว่า 800 ชีวิตได้ชื่นชมกันผ่านในหน้าแฟนเพจของร้าน (แว่วมาว่าทั้งหมดถ่ายด้วยกล้องฟิล์ม)

เราคุยกันแบบลืมฝนฟ้าเวลาจนมืดค่ำ พี่เล็กเอ่ยชวนทานข้าวเย็นเสียด้วยกันเลย
แน่นอนอีกครั้ง – เรายินดีอย่างไม่ต้องเสียเวลาเกรงใจใดๆ

จากนั้นเราก็ช่วยกันทำกับข้าวโดยมีพี่เล็กเป็นเชฟใหญ่ ส่วนเราทั้งสองเป็นลูกมือภายในครัวเล็กๆ อันแสนอบอุ่นของร้านเล็กๆ ที่มีชื่อว่า “ร้านเล็กๆ” แห่งนั้น
แล้วมื้อมหัศจรรย์กับหน้าฝนในปายก็เกิดขึ้น

เป็นแกงกะทิใส่กุ้งและมะเขือกับมะระหวานผัดไข่ ทานเข้าด้วยกันกับข้าวสวยหุงใหม่ร้อนๆ โอ้วว์บั้งไฟ – มันเหมือนอาหารทิพย์รสเลิศจากสวรรค์ได้ลอยลงมา และค่อยๆ หายไปทีละเล็ก ทีละน้อย ทีละคำสองคำ ลงไปในท้องของเรา

จริง – ลำขะหนาด – ไม่ได้กล่าวเกินไปเลย
ผมกล้าพูดได้ (ด้วยข้าว) เต็มปากเลยว่ามันเป็นมื้อเย็นที่อร่อยเหลือเชื่อ
และยิ่งใหญ่เหลือเกินในเรื่องของความรู้สึกดีๆ ที่ผสมกันอย่างลงตัวกับความอิ่มเอมยินดีที่ท่วมท้นอยู่ภายในใจ

เผลอๆ อาจใหญ่โตพอๆ กับเทือกเขาที่เราพูดคุยกันไว้ก็ไม่ปาน

7/13/2011

บางวันก็เป็นพม่า



ย่างเข้าเดือนหก ฝนก็ตกพรำๆ กบมันก็ร้องงึมงัมระงมไปทั่วท้องนา
แต่พอพ้นเดือนหก ล่วงเข้าสู่กลางเดือนเจ็ด ฝนก็ยังคงตกพรำๆ อยู่นะ -*-
ทว่านั่นมันก็เป็นเรื่องของฟ้าฝนมัน ช่างมัน ปล่อยมัน
รอบนี้เรามีเรื่องให้พร่ำบ่นพึมพำเหมือนเจ้ากบเดือนหกจะเล่าให้ฟังดังนี้

คือเดือนนี้นิตยสารของเรามีปัญหาเล็กน้อย
เกิดการผิดพลาดเกี่ยวกับรายละเอียดที่ลงไปในนั้น
เราจึงจำเป็นต้องร่วมลงแขกแก้ไขมันกัน ด้วยการแกะหีบห่อหนังสือที่ทางโรงพิมพ์มาส่งยังสำนักงาน เปิดไปหน้าที่มีปัญหา ขีดฆ่าข้อความที่ผิดพลาด สอดเหน็บกระดาษข้อความใหม่ที่ผ่านการแก้ไขถูกต้องแล้วลงไป พับปิด และบรรจุกลับลงห่อหีบเดิมที่เราแกะไว้อย่างปราณีตในตอนแรก ก่อนที่จะส่งผ่านงานต่อให้พี่แมสเซนเจอร์ สิบชีวิตไทย - ญี่ปุ่นกับหนังสือเล่มน้อยกว่าหมื่นเล่ม

งานทำมือล้วนๆ รู้สึกเซ็งเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย
นั่นคือเรื่องบ่นงึมงำพึมพำที่ว่า

จนวันก่อนหอบหิ้วตัวเองหลบลมฝนเดือนเจ็ดมุดเข้าลิโด้ไปดู The Tree of Life
ตอนหนึ่งในหนัง แบรด พิตต์ (แสดงเป็นพ่อ) สอนลูกๆ ว่า "ห้ามบอกว่าทำไม่ได้ ให้บอกไปว่าตอนนี้เรากำลังมีปัญหาอยู่ และคงต้องใช้เวลาแก้ไขอีกเล็กน้อย..." ประมาณนั้น จึงบรรลุถึงความหมายของคำว่า "คนละเรื่องเดียวกัน" ขึ้นมาฉับพลันทันใดบนเก้าอี้เบาะหุ้มหนังหมายเลข B9 ภายในโรง

ใช่เลย เพราะในบางทีเราก็ต้องจำยอมแปลงร่างเป็นแรงงานพม่าจัดการกับบางปัญหาให้ลุล่วงไป..... ใช่มั๊ย?

7/04/2011

มนต์รักสิบล้อโอละพ่อหาบ
















บางเสี้ยวบางตอนกับเรื่องราวของรถและพวกเขา
ผมเองเพียงคนเดินทางที่ผ่านไปพบเจอ
ใจจึงเพียงอยากบอกเล่านำเสนอ
ว่าถ้าหากชีวิตสั้นๆ นี้ยังไม่สิ้น
ก็ลองออกไปซิ่งกันบ้าง.. อะไรบ้าง
เพราะโลกเราใบนี้มันกว้างจะตาย