11/28/2007

The Sound Of ฮาโนอิ



















Hanoi ยังคอยอยู่


วันก่อนวันสุดท้ายที่ฮานอย ผมตื่นแต่เช้า เตรียมจะออกจากเกสต์เฮ้าส์ไปเดินเล่นริมทะเลสาป ชมนกชมไม้ตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เพราะพรุ่งนี้คงต้องเช้กเอ้าท์ออกไปสนามบินแต่เช้ามืด คงไม่มีเวลาให้เดินเล่นเก็บตกฮานอยแล้ว

“ไปไหนแต่เช้าล่ะพี่ชาย” เด็กหนุ่มผู้ดูแลเกสต์เฮ้าส์ทักทายผมขณะเห็นผมทำท่าจะออกไปข้างนอกแต่เช้า
“ไปเดินเล่นที่ทะเลสาป” ผมตอบกลับไปขณะสวมรองเท้า
“บางทีโชคดีพี่อาจจะเห็นเต่าก็ได้”
เด็กหนุ่มบอกผมพร้อมส่งรอยยิ้มให้ก่อนออก

ที่ฮานอยนั้นจะมีทะเลสาปอยู่กลางเมืองชื่อว่าฮว่านเกี๋ยม (Hoan Kiem)
หรือ “ทะเลสาบคืนดาบ” ที่คนทั่วไปเรียกกันตามตำนานที่เล่าสืบมาแต่โบราณของทะเลสาปใจกลางเมืองแห่งนี้ว่าในช่วงกลางศตวรรษที่ 15 นั้น องค์จักรพรรดิลี่ไทโต (Ly Thai To) ได้รับดาบวิเศษจากสวรรค์ เพื่อใช้ต่อสู่ขับไล่ชาวจีนออกจากประเทศ จากนั้นหลังสงครามยุติ ได้มีเต่ายักษ์คาบดาบวิเศษที่ว่านี้ และดำลึกหายลงไปกลางผืนน้ำ ทะเลสาบแห่งนี้จึงถูกเรียกว่าทะเลสาบคืนดาบตั้งแต่นั้น วันดีคืนดีจึงมักมีคนเล่าว่าเห็นสิ่งมีชีวิตคล้ายๆ เต่าว่ายน้ำเล่นอยู่เนืองๆ
เพราะยังเชื่อว่าเจ้าเต่าคาบดาบยังวนเวียนว่ายอยู่ในทะเลสาปแห่งนี้

ในช่วงเวลาเช้าๆ บรรยากาศโดยรวมรอบๆ ทะเลสาปฮว่านเกี๋ยมนั้นโรแมนติกและร่มรื่นมาก จึงไม่แปลกที่จะเห็นวัยรุ่นหนุ่มสาววัยละอ่อนที่นี่นั่งอ้อล้อจู๋จี๋กันรอบๆ ระคนด้วยผู้เฒ่าผู้แก่คนชราที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจอ่านหนังสือพิมพ์ มองดูคลื่นกลางทะเลสาปกระเพื่อมตามแรงลม นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นั้นก็มักมาเดินเล่น หรืออาจขยับแข้งขาด้วยการออกวิ่งเอากำลังก็ตามสะดวก

วันเวลาสบายๆ เช่นนี้ ไม่มีอะไรต้องเร่งรีบ ผมยังคงเดินเล่นอยู่ริมทะเลสาป

แม้บริเวณทะเลสาปนั้นจะไม่มีการเปิดเพลงบรรเลงแต่อย่างใด
วูบหนึ่งที่นั่น ผมคล้ายได้ยินเสียงท่วงทำนองคลอเบาๆ บรรเลงลอยล่องมาตามสายลมหนาวยามเช้า

มันไพเราะและเพราะอย่างจับใจ

ผมคิดถึงสหายที่นัดแนะกันอย่างมั่นเหมาะว่าจะมาเดินเล่นที่นี่ด้วยกัน
แต่สุดท้ายแล้วโดนฉุดดึงด้วยการงานที่รัดตัว
และแม้อยากจะแบ่งปันท่วงทำนองที่ว่าให้สหายฟังสักเท่าใด เพียงแต่มันไม่อาจเทียบเคียงแม้เสี้ยวของเสียงที่กำลังบรรเลงขับกล่อมผมอยู่ในตอนนี้
นอกเสียจากว่าเราจะเดินด้วยกันที่นี่ เวลานี้

ชีวิตเราอาจไม่ได้ยืนยาวเหมือนเต่าตัวนั้น ที่วันดีคืนดีจะมีคนโชคดี บังเอิญเห็นสิ่งมีชีวิตคล้ายๆ เราๆ ท่านๆ ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ที่ซิดนี่ย์, กระบี่, บาหลี หรือปีนัง
แล้วเล่าสู่กันฟังที่ไหนสักแห่ง ที่คนฟังก็ไม่ชัดแจ้งกระจ่างว่าใช่ หรือจริง
และจะเชื่อดีไหม

หากคิดจะเดินทางท่องเที่ยวก็ไปเสียตั้งแต่ยังแบกเป้ไหวเถิดเพื่อนเอ๋ย

เพราะเมื่อถึงวัยและวันเวลาที่ต้องจำนนต่อการลากกระเป๋าเลื่อนแล้วนั้น
ภาพและเสียง หรือท่วงทำนองที่ไพเราะเช่นนี้นั้นอาจแผ่วบางพร่าเลือน

และที่สำคัญ มันไม่เท่เลย

11/22/2007

ปีหนึ่ง ฮอยอัน และ Wonderful Day























The term "flâneur" comes from the French verb flâner, which means "to stroll". A flâneur is thus a person who walks the city in order to experience it. Because of the term's usage and theorization by Charles Baudelaire and numerous thinkers in economic, cultural, literary and historical fields, the idea of the flâneur has accumulated significant meaning as a referent for understanding urban phenomena and modernity.

ฟลาเนอร์ (flaneur) หมายถึง คนที่หลงใหลในเมือง
ผู้ซึ่งเต็มไปด้วยเวลาว่าง และใช้เวลาว่างในช่วงพักจากงานประจำ
เพื่อที่จะเดินเล่นโดยไม่มีจุดหมาย เนื่องจากการมีจุดมุ่งหมาย
และตารางเวลาที่แน่นอนนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับความเป็นฟลาเนอร์

ฟลาเนอร์ที่สมบูรณ์แบบหรือสำหรับผู้ที่หลงใหลในการเฝ้ามองแล้ว
ความพึงพอใจอย่างแรงกล้าได้แก่ การมีชีวิตอยู่ท่ามกลาง
ความแตกต่างหลากหลายที่มีการเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนไหว

ความสุข คือ การได้เฝ้ามองความเคลื่อนไหวอันหลากหลาย

ฟลาเนอร์จะปฏิเสธการรับรู้สิ่งต่างๆ
หรือการพบปะผู้คนด้วยคุณค่าที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
เป็นพวกชอบใฝ่หาประสบการณ์มากกว่าที่จะเป็นการหาความรู้
ซึ่งมักจบลงด้วยการตีความ และแทนที่ด้วยความรู้

(บางส่วนจากข้อคิด ข้อเขียนดีๆ ของคุณนิ้วกลม ที่เขียนไว้ใน roundfinger.wordpress.com พื้นที่ดีๆ ในโลกอีกใบของคุณนิ้วกลม ที่ได้คัดสรรเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ มากมายมาเล่าสู่กันอ่าน รวมทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับ
‘ฟลาเนอร์’ มาให้ผมได้รู้จัก)


หาก ‘ความสุข’ คือการได้เฝ้ามองความเคลื่อนไหวอันหลากหลาย

แต่ละวันๆ ที่ฮอยอัน, ผมรับรู้ถึงความสุขมากมายเหลือเกิน