1/07/2008

เข้าเมืองตาหลิ่ว


กิจกรรมหลักยามกลับบ้านของผมคือการนั่ง (บางครั้งก็นอน) คุยกับแม่ในทุกๆ อาณาบริเวณของบ้าน ไม่ว่าจะเป็นหน้าบ้าน ซึ่งดัดแปลงเป็นร้านโชว์ห่วยขายของชำเล็กๆ จำพวกขนมขบเคี้ยว, น้ำอัดลมและเครื่อง ตลอดจนข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันอีกนิดๆ หน่อยๆ ประปราย อีกทั้งยังเป็นสมาคมกาแฟในช่วงเช้าตรู่สำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านอีกด้วย

ด้านข้างของบ้าน ซึ่งป็นบริเวณส่วนที่ใช้จัดการเกี่ยวกับกิจกรรมที่ต้องเข้าร่วมกับน้ำเสียส่วนใหญ่ ทั้งล้างถ้วยชามจานข้าว, แก้วกาแฟ, ซักผ้าและล้างรถ

ในครัว, ที่ๆ ผมมักเข้าไปลักลอบลอกวิชาการทำอาหารของแม่อยู่บ่อยๆ และก็เป็นอันต้องพลาดให้โดนจับได้ทุกครั้ง จนต้องทำโทษจำเลยอย่างผมโดยการเรียกมาให้เป็นลูกมืออยู่เสมอ

รวมทั้งในบ้าน ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง ห้องนอนห้องนั่งเล่น ที่จริงเหมือนจะเป็นการสัมภาษณ์กลายๆ ก็ว่าได้ เพราะผมมักซักโน่นถามนี่ต่างๆ นานาเกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นไปของหมู่บ้านและผู้คนที่นั่น ซึ่งแม่ผมก็เป็นนัก (ชอบ) เล่า
และผู้สังเกตการณ์ความเป็นไปของหมู่บ้านอย่างดี

รอบนี้ส่วนใหญ่เราคุยกันเกี่ยวกับเรื่อง ‘ไอ้หลิ่ว’

‘หลิ่ว’ หรือจะให้ถูก ต้องเรียกว่า ‘ไอ้หลิ่ว’ เพราะตั้งแต่เล็กจนโต เท่าที่เห็นและได้ยิน ไม่ปรากฏพบว่าใครคนใดในหมู่บ้านริอาจเรียก ‘ไอ้หลิ่ว’ ว่า ‘คุณหลิ่ว’, ‘น้องหลิ่ว’, ‘พี่หลิ่ว’, หรือ ‘หลิ่ว’ เฉยๆ

ไอ้หลิ่ว- เด็กวัยรุ่นตาเขข้างเดียวแต่ไม่ถึงกับเหล่ เป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดาที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่งในหมู่บ้านผม คือเป็นเด็กที่โตเพียงตัว แต่พัฒนาการทางสมองนั้นช้ากว่าเด็กในรุ่นราวคราวเดียวกันหลายเสาไฟฟ้า (เอ่อ.. แถวบ้านผมเขาเปรียบเทียบกันแบบนี้จริงๆ!) และพี่สาวของไอ้หลิ่วเอง ที่ปกติธรรมดาเหมือนเด็กๆ ทั่วๆ ไปในหมู่บ้าน เหตุนี้มันจึงเรียนไม่จบ ป.1 เสียที ไอ้หลิ่วเรียนซ้ำชั้น ป. 1 ปีแล้วปีเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเกินวัยและเวลาอันควรที่มันจะเรียนได้แล้ว แม่ของไอ้หลิ่วเลยจำต้องให้มันออกเรียนมาทำงานช่วยทางบ้านแทน ซึ่งทางคณะอาจารย์ก็รู้เห็นและเป็นใจ

ด้วยร่างกายที่แข็งแรงล่ำสันบึกบึนและไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเป็นต้นทุน แม่ของไอ้หลิ่วจึงตระเวนพามันไปฝากให้ทำงานรับจ้างทั่วราชอาณาจักร งานทุกอย่างที่ต้องการแรงและพลัง ไอ้หลิ่วทำได้หมด ตั้งแต่ตัดหญ้า, พ่นยา, ให้น้ำสวน, ปีนป่ายเก็บผลไม้, งานแบกหาบนานาชนิด เรียกได้ว่าเป็นผู้ใช้แรงงาน (ของตัวเอง) ตั้งแต่เด็ก จนมันสามารถมีรายได้ประจำจากการเป็นลูกจ้างถาวรของเฮียนกยูง เจ้าของเต้นท์ผ้าใบประจำหมู่บ้าน

"แม่มันให้ ’ตังค์มันวันละห้าสิบบาท ถ้าวันไหนให้มันไม่ถึงมันจะโกรธ มันไม่เอา มันรู้ มันรู้ว่าเท่านี้ๆ กี่บาท รู้ว่าไม่ถึง มันไม่ยอม มีคนสอนมัน แต่ถ้าให้มันหกสิบบาท มันเอา เพราะมันรู้ว่าเกิน... แต่ถ้าให้มันบวกเลขนะ ไม่ได้เรื่องหรอก
ก็ ป. 1 มันยังไม่จบเลย..."

แม่เล่าเพิ่มเติมให้ฟังขณะที่ผมกำลังเคี้ยวชมพู่แก้มตุ่ยที่เก็บมาจากสวนเมื่อเช้า

และด้วยความเชี่ยวและชำนาญงานกางเต้นท์ จากเด็กหนุ่มไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออก และเขียนไม่ได้ ไอ้หลิ่วจัดการเรื่องพวกนี้ด้วยการฟังและลงมือทำ ไม่นานนักด้วยวัย 23 ปีเศษ ไอ้หลิ่วก็เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นมือกางมือหนึ่ง และควบตำแหน่งหัวหน้าคนงานกางเต้นท์อย่างยิ่งใหญ่ สร้างความปิติให้ทั้งพ่อแม่ และคนในหมู่บ้าน รวมถึงผู้เฝ้าดูอยู่ห่างๆ อย่างผมและแม่
(แปะๆๆๆๆ เสียงปรบมือกึกก้องเนิ่นนานดังไปทั่วหมู่บ้าน)

ในทันใด- อย่างไม่ได้ตั้งใจ (และไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้าย), ในหัวผมพลันเกิดภาพทับซ้อนภาพของการโห่ร้องเฉลิมฉลองให้ไอ้หลิ่วด้วยภาพที่มัวๆ หม่นๆ คล้ายอยู่ในม่านหมอกของเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับไอ้หลิ่ว เพียงแต่พอระบุได้ว่าบุคลิกดูดีมีชาติตระกูลกว่า, มีการศึกษากว่า, สะอาดและสำอางค์กว่า, เสื้อผ้ารองเท้าทันสมัยมีค่าราคากว่า กำลังเที่ยวเตร่โลดโผนอยู่ท่ามกลางแหล่งมั่วสุมสถานบันเทิงเริงรมย์อยู่ในเมืองใหญ่ศิวิไลซ์ ห้อมล้อมด้วยสุราเมรายมุข อบอวลด้วยกลิ่นของกิเลสและตัณหาราคะ

ยิ่งเพ่งสายตาดูก็ยิ่งคลับคล้ายคลับคลา

………

ชมพู่ที่เก็บมาหมดจากจานไปเรียบร้อยแล้ว

แม่ขอตัวไปขายของ เพราะมีคุณลุงมาตะโกนร้องเรียกซื้อยาฉุนอยู่หน้าบ้าน

ผมยกจานเตรียมจะไปล้าง หันมองไปทางด้านข้างของบ้าน ต้นไม้, ดอกไม้น้อยใหญ่ไหวเอนตามลมที่พัดเนือยๆ ทั้งชวนชม, บานบุรี, แพงพวยและโป๊ยเซียน
ดูแล้วเพลิดเพลิน ยิ่งกลิ่นหอมของดอกพุดและมะลิกำลังบานที่แม่ปลูกไว้เป็นแนวตามกำแพงบ้านโชยมาตามลม ก็ยิ่งชวนให้เคลิบเคลิ้ม

ไม่น่าใช่อุปทาน, ดูเหมือนยิ่งผมเริ่มเข้าใกล้สิ่งที่เรียกว่า ‘ความเจริญ’ และอยู่ท่ามกลาง ‘เมือง’ ที่มีแสงสีเสียงโฉบเฉี่ยวฉูดฉาด, ตึกรามใหญ่โตอลังการมลังเมลืองอยู่รายรอบ ก็ยิ่งเริ่มรู้สึกว่าหนังตาข้างขวาของผมมันเริ่มหนักขึ้นๆ และหย่อนลงเรื่อยๆ

มันทำให้มองเห็นอะไรไม่ค่อยชัดเอาเสียเลย

4 comments:

Anonymous said...

แหม เดี๋ยวนี้เขียนเก่งใหญ่แล้วนะ ^^
เมื่อไหร่จะรวมเล่มซะทีละเนี้ย
รออุดหนุนอยู่นะ

Anonymous said...

ลักษณะว่านั่นมันไอ้รัน รึว่าไอ้หลิว

prawit said...

ตามมาอ่านบทความ อีกแล้ว หุๆๆๆ

Anonymous said...

ติง
อยากให้ font มันใหญ่กว่านี้หน่อย
อยากอ่านนะ
แต่มันตัวเล็ก
ไม่ค่อยดึงดูดใจเท่าไหร่
ลองเอาไปคิดดูนะ