10/03/2008

เรื่องเหล้าจากเมืองเหนือ : ภาคต่อ

.
.
.
เสียงขวดกระทบกันเก๊งๆ ดังใกล้เข้ามา
เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าบ่ายนี้ไม่เงียบเหงาอย่างแน่นอน

1
ตั๋วรถไฟในมือระบุเวลาออกจากชานชลาเชียงใหม่ไว้ 17:55 น. และจะไปเทียบท่าที่กรุงเทพฯ ในตอน 7 โมงของเช้าอีกวัน ผมทำธุระเสร็จแล้วมองดูเวลายังไม่เที่ยงดี เลยตัดสินใจใช้เวลาช่วงที่เหลืออยู่เกือบครึ่งวันก่อนที่จะขึ้นรถไฟในช่วงเย็นแวะไปหา “ไอ้คุณณัฐ” สหายเก่า ซึ่งบ้านพักของมันอยู่ไม่ไกลจากสถานีฯ จำได้ว่ามันเคยบอกว่าใช้เวลาเดินทางราว 30 นาทีจากสถานีฯ

ไอ้คุณณัฐขึ้นมาอยู่ที่เชียงใหม่นี่ได้สองปีกว่าแล้ว โดยมีเหตุผลหลักของการมาอยู่คือศึกษาต่อในระดับมหาบัณฑิต (เห็นมันร่ำๆ ว่าอยากเป็นครู) แต่เหตุผลรองรับอื่นๆ หรือข้ออ้างในความหมายเดียวกัน ซึ่งมีมากมายกว่านั้นเยอะผมขอละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าไม่จำเป็นต้องเล่าก็แล้วกัน

2
“มาแล้วเพ่”
ไอ้เจ๋ง- รุ่นน้องที่อยู่ด้วยกันกับมันมานานจนขึ้นชื่อว่ามือชงอันดับหนึ่ง (ไม่รู้มันคบหาและจัดอันดับกันยังไง) บรรจงวางถุงเบียร์สองถุงใหญ่ที่เดินออกไปซื้อมาบนโต๊ะ เปิดขวดด้วยไฟแช็กด้วยความชำนาญ ใส่น้ำแข็งสองสามก้อนในแก้ว จัดแจงรินเบียร์ให้ผมและไอ้คุณณัฐก่อนอย่างคล่องแคล่ว แล้วก็รินให้ตัวเอง เราทั้งสามนั่งซดเบียร์เย็นๆ ในยามบ่ายทางด้านหลังบ้านพักที่ไอ้คุณณัฐมันเช่าไว้

“ขากูยังไม่หาย ถ้าหายกูออกไปรับมึงเองแล้ว”
ไอ้คุณณัฐนั้นเพิ่งประสบอุบัติเหตุรถมอร์ไซฯ ล้มก่อนหน้าที่ผมจะขึ้นไปไม่นาน
ผมอยากรู้เรื่องราวจึงไถ่ถามถึงสาเหตุการล้ม มันบอกว่ามันลองพิสูจน์อะไรบางอย่าง

“จริงๆ นะเว้ย เวลามึงขี่นะ ถ้ามึงลองบิดแม่งให้สุดๆ นะ มึงหักนิดเดียวแม่งจะเข้าโค้งให้เองเลย”
“มึงเลยลอง แล้วเป็นไง?” ผมถาม
“แหกโค้งสิวะ!” มันตอบแล้วก็หัวเราะ จากนั้นก็ซดเบียร์ในแก้วต่อ
“แม่งไม่หักให้ ขากูเลยหักแทน เย็บไปเจ็ดเข็ม ตรงเอ็นร้อยหวายห้า เหนือขึ้นมาตรงเส้นเลือดอีกสอง เดินไม่ได้อยู่เกือบเดือน”
“ตอนโทรมาหาผมนะเพ่ ร้องโอดโอยอย่างหมา ‘เฮ้ย เจ๋ง โอย...กูรถล้มว่ะ โอย... มึงอยู่ไหนวะ โอย... มารับกูด้วย โอย...’ พูดไปก็ร้องไป”
ไอ้เจ๋งแซวลูกพี่มันขึ้นมา
“เหี้ยเจ๋ง! มึงมันไม่รู้เหี้ย’ไร งี้เค้าเรียกลูกผู้ชายโว้ย”
“แล้วรถเป็นไง” ผมถามถึงรถ เพราะเห็นด้วยตาแล้วว่ามันไม่เป็นอะไร
“ก็พังไปครึ่งคัน โช้กกับสวิงอาร์มเบี้ยว ชุดเบรก เกียร์กับคาร์ทหัก ฝาครอบเครื่องแตก ไฟหน้าแล้วก็ท้ายแตก ตุ๊กตาหน้ารถหลุด ดอกยางหน้าฉีก ต้องเปลี่ยนลูกสูบใหม่แล้วก็ต้องเดินไฟใหม่ทั้งคัน” ไอ้คุณณัฐร่ายยาว
“ดวงแข็งนะมึง” ผมแสดงทัศนะเป็นกำลังใจให้มัน

แล้วเราก็นั่งซัด (ที่จริงเราทั้งสามเปลี่ยนกริยาจาก ‘ซด’ เป็น ‘ซัด’ มาพักหนึ่งแล้ว) เบียร์คุยเรื่องราวต่างๆ กันต่อ
คงเพราะไม่ได้เจอกันนาน เราจึงมีเรื่องคุยกันไม่หยุด แต่ส่วนใหญ่ผมจะเป็นฝ่ายฟังไอ้คุณณัฐมันเล่าเสียมากกว่า กว่าครึ่งหนึ่งก็เป็นเรื่องรถประวัติการขับขี่และตกแต่งรถของมัน นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องผู้หญิงและเรื่องที่มหา’ลัย

ผมพอเข้าใจแต่ไม่มาก ว่าผู้ชายกับความเร็วนั้นเป็นของคู่กัน
แต่แค่ยังไม่แน่ใจว่าไอ้การซิ่งรถเนี่ยมันดูเป็น‘ลูกผู้ชาย’ ตรงไหน
พอได้มาเจอจะๆ กับตาว่าไอ้คุณณัฐนั้นแสดงความเป็น ‘เป็นลูกผู้ชาย’ โดยการโชว์การ ‘แหกโค้ง’ ให้บรรดาน้องๆ ได้กล่าวขวัญกัน (แม้จะเชื่อได้เลยว่าตัวมันเองนั้นคงไม่ได้ตั้งใจจะแหกหรอก) ก็ถึงได้แจ่มแจ้งว่า ลูกผู้ชายตัวจริงนั้น ย่อมต้องกล้าที่จะ ‘หัก’ กล้าที่จะ ‘แหก’ กล้าที่จะ ‘แหวก’

“เฮ้ย มึงน่ะ ไม่เห็นกินเลย กินสิเบียร์น่ะ ต้องรีบกลับไม่ใช่เหรอ แดก แดก เร็ว!”
เสียงไอ้คุณณัฐแซงแทรกเข้ามาในความคิด ไม่เสียแรงที่เป็นนักซิ่งประจำซอย

...และก็ต้องกล้าที่จะ ‘แดก’ ด้วย!


3
จะว่าไปก็อดคิดอิจฉาไอ้คุณณัฐไม่ได้ว่ามันช่างโชคดีที่ได้อยู่ในพื้นที่ที่สามารถปลดปล่อยความชอบและความกระหายออกมาได้อยู่ตลอดเวลา โดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังอะไรให้มาก
อยากเล่นก็เล่น อยากเรียนก็เรียน อยากเมาก็เมา
และเมื่อมันอยากซิ่ง... ใครจะทำไม (วะ!)
ขอแค่ไม่ไปทำร้ายหรือเบียดเบียนใครนอกจากตัวเองเป็นพอ

หลังจากซดและซัดเบียร์ไปหลายขวด และได้พูดคุยกับลูกผู้ชายตัวจริง (อ้างอิงจากที่มันพูดนะ) แบบแมนๆ ผมรู้สึกเหมือนว่าเลือดลมมันสูบฉีดรุนแรงกว่าปกติ
“เจ๋ง เติมหน่อย” ผมยื่นแก้วไปทางไอ้เจ๋ง
“ด้ายเพ่ จาดปาย จาดปาย เดี๋ยวผมไปส่งเพ่ที่’ถานี”
ไอ้เจ๋งอาสาขี่มอร์ไซฯ มันไปส่งผม ดูท่ามันเหมือนจะเมาเล็กน้อยถึงปานกลาง

ผมซัดเบียร์ที่เติมต่อจนเกลี้ยง
แอบภาวนาในใจอยู่ลึกๆ ว่าขอให้ไอ้เจ๋งแม่งเป็นตุ๊ด!

No comments: