4/29/2008
4/24/2008
ปีนี้-ปีนัง
เคยพูดคุยนัดหมายอย่างมั่นเหมาะกับเพื่อนๆ ตั้งแต่ช่วงต้นปีหนูปีนี้หลังประเดิมศักราชใหม่ด้วยการดื่มด่ำกับ Across the universe ภาพยนตร์เพลงที่รวบรวมเพลงและเรื่องราวต่างๆ ของพี่ๆ วงสี่เต่าทองยุคโน้นมาทำเป็นภาพยนตร์ (ซึ่งก็นั่งแท่นติดอันดับหนังในดวงใจของเพื่อนๆ และผมเป็นที่เรียบร้อยแล้วอีกหนึ่งเรื่อง) ว่าจะพักร้อนหนีประเพณีสาดน้ำไปไหนกันดี
หลากหลายแหล่งท่องเที่ยวแต่ละที่ๆ ต่างก็ผุดขึ้นมาจากเพื่อนๆ ทั้งขึ้นเหนือ ล่องใต้ เยือนอีสานหรือย่ำตะวันออก รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายก็มีอยู่ในรายการด้วยโดยไม่มีข้อยกเว้น เราต่างเสนอกันทีละที่ๆ
"ปีนี้ ต้องปีนัง"
ผมออกความคิดบ้าง และก็ดูเหมือนจะแสดงจุดเที่ยวอย่างชัดเจนเสียด้วย ซึ่งมันก็เริ่มจากแค่ผมชอบคำว่า "ปีนี้ ปีนัง" มันฟังแล้วรื่นหูดี ก็แค่นั้น
--นั่งรถไฟระหว่างประเทศ กรุงเทพฯ – บัตเตอร์เวอร์ท ไปลงที่เมืองบัตเตอร์เวอร์ท ประเทศมาเลเซีย แล้วนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามไปขึ้นย่านจอร์จทาวน์ที่เกาะปีนัง จากนั้นก็เที่ยวปีนังกันให้พอชุ่มคอสัก 2-3 วัน แล้วบินกลับ--
ผมอธิบายทริปคร่าวๆ ซึ่งเพื่อนๆ ก็ดูเหมือนจะโดนผมหว่านล้อมโดยเอาโปรแกรมคร่าวๆ ดังว่าวางดาวน์ไว้ก่อน
ใช่แล้ว – ปีนี้เราจะไปปีนังกัน!
จากวันนั้น ฤดูกาลเปลี่ยนผ่าน จากหนาวเข้าสู่ร้อน
ด้วยอะไรๆ ที่รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง หลายๆ อย่างที่มองไม่เห็น แต่พอรู้สึกได้ ก็ดลใจจำนวนสมาชิกเพื่อนร่วมทางให้ถอดถอนตัวขอผ่านไปทีละคนๆ
จากสิบเหลือเก้า
จากเก้าเหลือแปด
จากแปดลดไปอีกครึ่งเหลือสี่
และท้ายที่สุดจากสี่ก็มาจบลงตรงที่จำนาวนสมาชิกสองคนครึ่ง!
(อีกครึ่งหนึ่งนั้นเป็นเนิบเรียว- เพื่อนร่วมทางที่ไปด้วยกันครึ่งทาง เราแยกกันที่สถานีสุราษฏ์ฯ เนิบเรียวบอกจะไปรั่วที่เทศกาลรื่นเริงของวัยรุ่นในค่ำคืนวันพระใหญ่ที่หาดริ้น เกาะพะงัน)
จะเป็นไรไป ท้ายสุดแล้วก็ยังได้ไป
สำหรับผมแล้วปีนี้ยังไงก็ต้องปีนัง ไม่มีปีหลังหรือปีหน้า
เพราะปีที่ผลัดไปอาจมาไม่ถึงก็ได้ - ใครจะรู้
หยุดสงกรานต์ปีนี้จึงเป็นหน้าที่ของผมกับแสตนด์ฯ ที่มีนัดกับจอร์จ ที่ผมเรียกสั้นๆ จากชื่อเมืองจอร์จทาวน์ เมืองแห่งการผสมผสานในความหลากหลายของวัฒนธรรม และเชื้อชาติในสัดส่วนที่เกื้อหนุนและสมดุลกันอย่างลงตัวที่ปีนัง
.........
เวลาบ่ายโมงตรงของวันศุกร์สุดสัปดาห์เทียบเวลาประเทศมาเลเซีย ขบวนรถไฟด่วนพิเศษระหว่างประเทศ กรุงเทพฯ – บัตเตอร์เวอร์ท จอดเทียบสถานีปลายทางเป็นที่เรียบร้อย
กว่า 20 ชั่วโมงบนรถไฟเล่นเอาปวดเนื้อเมื่อยตัวไม่เบา
ผมกับแสตนด์ฯ จัดแจงเอาเป้เดินทางมาสะพายหลัง เตรียมตัวลงจากรถไฟ เพื่อที่จะเดินต่อตามทางเดินเชื่อมไปท่าเรือเฟอร์รี่ข้ามฝั่งที่จะข้ามไปยังเกาะปีนัง
เรือเฟอร์รี่ลำใหญ่แล่นเอื่อยๆ บนทะเลอันดามัน ซึ่งมีปลายทางอยู่ที่ท่าเทียบเรือ ย่านเมืองเก่าจอร์จทาวน์ที่สงบนิ่งรอการมาเยี่ยมเยือนของนักเดินทางผู้แสวงหาและชื่นชมความเป็นไปของจอร์จวิถี
เรากำลังเข้าใกล้ไข่มุกแห่งทะเลตะวันออกทีละคลื่นๆ
"เฮ้ จอร์จ!" ผมร้องทักทาย
แล้วบทเพลงที่เคยฟังตอนต้นปีเพลงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง
หลากหลายแหล่งท่องเที่ยวแต่ละที่ๆ ต่างก็ผุดขึ้นมาจากเพื่อนๆ ทั้งขึ้นเหนือ ล่องใต้ เยือนอีสานหรือย่ำตะวันออก รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายก็มีอยู่ในรายการด้วยโดยไม่มีข้อยกเว้น เราต่างเสนอกันทีละที่ๆ
"ปีนี้ ต้องปีนัง"
ผมออกความคิดบ้าง และก็ดูเหมือนจะแสดงจุดเที่ยวอย่างชัดเจนเสียด้วย ซึ่งมันก็เริ่มจากแค่ผมชอบคำว่า "ปีนี้ ปีนัง" มันฟังแล้วรื่นหูดี ก็แค่นั้น
--นั่งรถไฟระหว่างประเทศ กรุงเทพฯ – บัตเตอร์เวอร์ท ไปลงที่เมืองบัตเตอร์เวอร์ท ประเทศมาเลเซีย แล้วนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามไปขึ้นย่านจอร์จทาวน์ที่เกาะปีนัง จากนั้นก็เที่ยวปีนังกันให้พอชุ่มคอสัก 2-3 วัน แล้วบินกลับ--
ผมอธิบายทริปคร่าวๆ ซึ่งเพื่อนๆ ก็ดูเหมือนจะโดนผมหว่านล้อมโดยเอาโปรแกรมคร่าวๆ ดังว่าวางดาวน์ไว้ก่อน
ใช่แล้ว – ปีนี้เราจะไปปีนังกัน!
จากวันนั้น ฤดูกาลเปลี่ยนผ่าน จากหนาวเข้าสู่ร้อน
ด้วยอะไรๆ ที่รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง หลายๆ อย่างที่มองไม่เห็น แต่พอรู้สึกได้ ก็ดลใจจำนวนสมาชิกเพื่อนร่วมทางให้ถอดถอนตัวขอผ่านไปทีละคนๆ
จากสิบเหลือเก้า
จากเก้าเหลือแปด
จากแปดลดไปอีกครึ่งเหลือสี่
และท้ายที่สุดจากสี่ก็มาจบลงตรงที่จำนาวนสมาชิกสองคนครึ่ง!
(อีกครึ่งหนึ่งนั้นเป็นเนิบเรียว- เพื่อนร่วมทางที่ไปด้วยกันครึ่งทาง เราแยกกันที่สถานีสุราษฏ์ฯ เนิบเรียวบอกจะไปรั่วที่เทศกาลรื่นเริงของวัยรุ่นในค่ำคืนวันพระใหญ่ที่หาดริ้น เกาะพะงัน)
จะเป็นไรไป ท้ายสุดแล้วก็ยังได้ไป
สำหรับผมแล้วปีนี้ยังไงก็ต้องปีนัง ไม่มีปีหลังหรือปีหน้า
เพราะปีที่ผลัดไปอาจมาไม่ถึงก็ได้ - ใครจะรู้
หยุดสงกรานต์ปีนี้จึงเป็นหน้าที่ของผมกับแสตนด์ฯ ที่มีนัดกับจอร์จ ที่ผมเรียกสั้นๆ จากชื่อเมืองจอร์จทาวน์ เมืองแห่งการผสมผสานในความหลากหลายของวัฒนธรรม และเชื้อชาติในสัดส่วนที่เกื้อหนุนและสมดุลกันอย่างลงตัวที่ปีนัง
.........
เวลาบ่ายโมงตรงของวันศุกร์สุดสัปดาห์เทียบเวลาประเทศมาเลเซีย ขบวนรถไฟด่วนพิเศษระหว่างประเทศ กรุงเทพฯ – บัตเตอร์เวอร์ท จอดเทียบสถานีปลายทางเป็นที่เรียบร้อย
กว่า 20 ชั่วโมงบนรถไฟเล่นเอาปวดเนื้อเมื่อยตัวไม่เบา
ผมกับแสตนด์ฯ จัดแจงเอาเป้เดินทางมาสะพายหลัง เตรียมตัวลงจากรถไฟ เพื่อที่จะเดินต่อตามทางเดินเชื่อมไปท่าเรือเฟอร์รี่ข้ามฝั่งที่จะข้ามไปยังเกาะปีนัง
เรือเฟอร์รี่ลำใหญ่แล่นเอื่อยๆ บนทะเลอันดามัน ซึ่งมีปลายทางอยู่ที่ท่าเทียบเรือ ย่านเมืองเก่าจอร์จทาวน์ที่สงบนิ่งรอการมาเยี่ยมเยือนของนักเดินทางผู้แสวงหาและชื่นชมความเป็นไปของจอร์จวิถี
เรากำลังเข้าใกล้ไข่มุกแห่งทะเลตะวันออกทีละคลื่นๆ
"เฮ้ จอร์จ!" ผมร้องทักทาย
แล้วบทเพลงที่เคยฟังตอนต้นปีเพลงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง
4/15/2008
พลพักร้อนเอย
พักร้อน 2 อาทิตย์จ้า!!
ใครหลงเข้ามายังไม่มีอะไรให้ดูนะ (นอกจากแผ่นหลังร้อนๆ ด้านบน)
โหวตแบบสำรวจด้านขวามือของท่านไปพลางๆ ก่อนก็ได้
หรือจะฝากข้อความไว้ก็ได้อีก ใจดี ; )
อากาศเดี๋ยวนี้ร้อนขึ้นทุกวันๆ (โดยเฉพาะเมืองไทย) ยังไงๆ ก็ขอให้ร้อนแค่กาย
ส่วนใจน่ะอย่าร้อนตามก็แล้วกัน เพราะมันจะทำให้เรื่องยากๆ และแย่ๆ ตามมา และเรื่องบางเรื่องมันก็ไม่ได้แก้ได้ด้วยการเปิดแอร์ หรือแก้ผ้าแช่น้ำ
ยิ่งชำเลืองดูเวลาโลกเราแล้วก็ใจหาย
เข็มหนึ่งชี้เกือบตรงขีดบนสุด อีกเข็มที่ยาวกว่าชี้ที่ขีดก่อนหน้านั้น ซึ่งระยะห่างจากขีดแรกตามมาตรฐานสากลนั้นบ่งบอกให้เราๆ ทราบว่าเป็นเวลา 5 นาที
อีก 5 นาทีเที่ยงคืน.....
และก็ดูเหมือนว่าคงไม่มีเวลาให้พิรี้พิไรมากเท่าใดนัก
(ยัง) ร้อนและคิดถึง^^
1306
4/10/2008
เสื้อสีดำกับดอกกุหลาบ
1
หลังการจากไปของย่า ครั้งนี้เป็นการสูญเสียอีกครั้งในครอบครัว
ไม่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของกุหลาบดอกนั้นอีกต่อไปแล้ว
2
ห้าวันก่อน...
เป็นปกติที่ผมต้องเดินผ่านร้านขายเสื้อผ้าร้านนั้นทุกวัน ถ้าเลือกลงรถไฟฟ้าที่สถานีช่องนนทรี แล้วเดินต่อเข้าสำนักงาน
วันนี้หน้าร้านขายเสื้อผ้ามีเสื้อยืดแขนสั้นสีดำ, แดงเข้ม และขาวหลายตัวแขวนอยู่ด้านหน้าร้าน และมีป้ายเขียนตัวเลขกำชับไว้ชัดเจนว่า "79"
เสื้อยืดสีดำเรียบหนึ่งในนั้นต้องตาผมอยู่ไม่น้อย ทั้งที่ปกติแล้วถ้าไม่มีคนซื้อมาฝาก, แถมมากับสินค้าหรือโปรโมชั่นสงเสริมการขายอะไรสักอย่างแล้ว น้อยครั้งนักที่ผมจะตั้งใจพินิจเสื้อยืดที่แขวนขายอย่างสนใจที่จะจับจ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งการเป็นเจ้าของๆ มัน
"ลดได้ไหมครับพี่" ผมถามพ่อค้าแสดงความสนใจให้รู้
"ผ้าเนื้อดีนะ ไม่แพงหรอก อย่าต่อเลย" พี่พ่อค้าตอบ
ผมนิ่งคิด แล้วตอบขอบคุณพร้อมกับตัดสินใจว่าเอาไว้ก่อน ยังไม่จำเป็นต้องซื้อ อีกอย่าง-ผมไม่ใช่คนจับจ่ายใช้เงินง่ายขนาดนั้น (ทั้งที่ราคา 79 บาทก็ถือว่าถูกแสนถูกอย่างที่พี่เค้าบอกแล้วก็ตาม)
เช้าวันนั้นผมไม่ได้ซื้อ แล้วเดินจากไป
3
คืนนี้เวลาหนึ่งทุ่มมีการสวดอภิธรรมศพที่วัดเป็นคืนแรก
และเช้าวันนี้ก็เป็นปกติที่ผมต้องเดินผ่านร้านขายเสื้อผ้าร้านนั้นทุกวัน
ทว่าวันนี้ผมกำลังสวมใส่เสื้อสีดำเรียบๆ ไร้ลวดลายตัวนั้นเสียแล้วอย่างไม่ต้องมีการต่อรองใดๆ
ผมซื้อมันแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมเดินจากมันไปพร้อมกับความคิดในใจว่ายังไม่จำเป็น
นาทีนี้- ความรู้สึกอยากสวมใส่มีค่าเท่ากับสูญ
4
กุหลาบดอกที่เคยโชยกลิ่นหอมชวนให้รื่นรมย์เรื่อยมา
วันนี้ได้ร่วงโรยราแล้ว
ไม่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของกุหลาบดอกนั้นอีกต่อไป
.........
4/02/2008
Subscribe to:
Posts (Atom)