7/29/2008
วับๆ WOM ๆ # 6
ได้ไปอ่านหนังสือธรรมะเล่มเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือมาเล่มหนึ่งในช่วง Rush Hour เช้าวันก่อนขณะเดินทางมาทำงานพร้อมๆ กันกับฝูงชนอีกหลายแสนล้าน หนังสือที่ว่านั้นตัวเล่มมีสีเทาเรียบ หน้าปกเป็นรูปวาดหนูสีชมพูกำลังเพ่งพิจารณาชีสที่วางอยู่บนกับดัก วางแจกฟรีอยู่บน BTS ข้อความพาดหัวเขียนไว้ว่า “ชนะใคร ไม่เท่าชนะใจตน” เขียนโดยพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก จัดทำโดยมูลนิธิมายา โคตมี ซึ่งสามารถอ่านจนจบทั้งเล่มได้โดยใช่เวลาไม่นานนัก
อ่านแล้วก็ให้รู้สึกสบายใจดี เลยคัดบางตอนมาให้ได้อ่านกัน
“ชีวิตเราทุกคนปราถนาความสุข เราต่างมุ่งแสวงหาความสุขและหลีกหนีให้พ้นจากความทุกข์กันทั้งนั้น แต่ในการแสวงหาความสุข เรามักมองข้ามสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต คือ ‘จิตใจ’ เราแสวงหาทรัพย์สมบัติ เงินทอง เกีตรติยศกันตั้งแต่เด็ก เราต้องแสวงหาโรงเรียนที่ดี เข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง หาอาชีพการงานที่ก้าวหน้ามั่นคง หาแฟน สร้างครอบครัว ซื้อบ้านซื้อรถ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ชีวิตทั้งหลายทั้งปวง โดยที่เข้าใจว่าเมื่อเราได้สิ่งนั้นแล้ว ชีวิตก็จะมีความสุข เราดิ้นรนแสวงหาสิ่งเหล่านั้นกันอยู่เป็นเวลาหลายปี หลายสิบปี แสวงหาไปเรื่อยๆ แสวงหาไปตลอดชีวิตก็ยังไม่พบความสุขที่แท้จริง เพราะเหล่านั้นเป็นการแสวงหาความสุขจากภายนอก...
“สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือ ‘ใจ’ ... ถ้าใจเราไม่สบาย ทุกข์ใจ เสียใจ แม้ได้ในสิ่งที่ปรารถนาทุกอย่างก็ตาม ใจเสียอย่างเดียวก็เท่ากับเสียทั้งหมด ก็จะหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้”
กับเรื่องบางเรื่องนั้นก็รู้อยู่แก่ใจ แต่ก็ยังไม่วายเผลอไผลหลงลืม
.........
วับๆ WOM ๆ รูปนี้ถ่ายใน Office มีคุณกาตวยเป็นแบบเช่นเดิม ดวงตาคู่นั้นยังคงชวนฝัน... อีกเช่นเคย ผนวกกับศิลปะการจัดวางที่ไร้ที่ติของผมเอง ด้วยการชวนพี่น้องและผองเพื่อนร่วมงานที่พอหยิบจับได้ภายในรัศมีหนึ่งเมตรมาร่วมมหกรรมการถ่ายแบบ วับๆ WOM ๆ ฉบับที่ 6 นี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นคุณลิงจั๊กๆ ทั้งสอง คุณไชโย คุณตู้ไปรษณีย์สีแดง คุณทับถม (อันที่จริงคุณกาตวยตั้งชื่อมันว่าทับทิม แต่ผมเปลี่ยนเอง มันดูสลดและฮากว่า) และคุณเป็ดน้อยสมทรง ดูเผินๆ รูปก็ออกมาขี้เหร่ (Kirei) เนะดี ว่ามั๊ย ^_^
7/17/2008
เรียง 100 ถ้อยคำ
หลายสิบหลายร้อยนาทีผ่านไป อาจเลยเถิดเข้าถึงขั้นหลักพันนับตั้งแต่วันก่อนจนมาถึงดึกดื่นคืนนี้ มีเพียงแต่ผมเท่านั้นที่กำลังประจัญหน้ากับอากาศธาตุภายใต้กรอบสี่เหลี่ยมของจอคอมฯ ยี่ห้อซัมซุงในห้องสี่เหลี่ยมขนาดกะทัดรัดย่านฝั่งธนฯ (ด้วยพ้องเสียง- อยู่ฝั่งนี้ต้องอดทนกับการข้ามไปฝั่งเมืองจริงๆ ขอยืนยัน) เพื่อที่จะกลั่นและกรองด้วยจินตนาการส่วนตัวให้ไอ้เจ้าอากาศธาตุที่ว่าได้เปลี่ยนสถานภาพออกมาเป็นตัวอักษร แต่อนิจจัง- ผมกำลังอยู่ในอาการ ‘เขียนไม่ออก’ ซึ่งไม่เกี่ยวกับอาการ ‘ขี้ไม่ออก’ แต่อย่างใด อย่างหลังนี่ทานยาถ่ายอาจจะช่วยให้ทุเลาได้บ้าง แต่อาการอย่างแรกนั้นแก้ยากกว่า เพราะช่วงนี้นั้นในหัวมันตื้อ มันทื่อ แต่ใจมันก็ดื้ออยากจะเขียน ด้วยมีวาระที่ว่า งานหรือบทความชิ้นนี้เข้าสู่หลักร้อยพอดิบพอดีใน blog แห่งนี้ สมควรจะมี Something Special เสียหน่อย แต่... ไม่มีเรื่องจะเขียน ไม่มีซำติงฯ ที่ว่า มีแต่ผมกับจอซัมซุง และยุงอีก 3-4 ตัว ในห้องเหลี่ยมๆ ห้องเดิม
จากหลักร้อยเข้าสู่หลักพันนาทีผ่านไป- จนแล้วจนรอด ด้วยความเฉลียวที่หันมองซ้ายขวาแล้วไม่เจอไม่เห็นสิ่งที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นเรื่องได้รอบๆ ครู่ใหญ่- ในที่สุดก็หาเรื่องจนได้ ด้วยการ ‘คุยกับตัวเอง’ มันซะเลยดีกว่า (ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่า ‘ดีกว่า’ อะไรด้วย ลองคุยดูก่อน เผื่อจะดี หรือไม่ก็ตรงข้าม อย่างน้อยที่สุดยังไงก็ ‘มีเรื่อง’ แน่ๆ)
ว่าแล้วก็เริ่มหาเรื่องกันเลย
ถาม : สวัสดี เป็นไงบ้าง?
ตอบ : แหม... ถามซะกว้างเชียวนะ
ถาม : งั้นแคบลงมาหน่อยแล้วกัน... ช่วงนี้เป็นไงบ้าง?
ตอบ : กวนตีนป่ะเนี่ย?
ถาม : จะตอบได้หรือยัง?
ตอบ : ก็สบายดี ไม่มีอะไรหวือหวา รู้สึกว่าตัวเองอ้วนนิดหน่อย น้ำหนักขึ้นด้วย พึ่งไปชั่งน้ำหนักมา พอขึ้นแล้วลงยากด้วยสิ
ถาม : กลัวไม่หล่อ?
ตอบ : (หัวเราะ) ไม่หรอก ไอ้หล่อน่ะไม่หล่ออยู่แล้ว แต่กลัวว่าน้ำหนักตัวน่ะ พอมันได้ลองขึ้นแล้วมันจะลงยากน่ะสิ กลัวเป็นเหมือนชายไทยวัยกลางคนทั่วๆ ไปน่ะ เชื่อมั๊ย! วันก่อนพวกพี่ๆ ที่สนิทกันชวนไปอบซาน์วน่าแถวบางหว้า ไอ้เราไม่เคยไปอะไรแบบนี้ก็เลยตามๆ เขาไปด้วย พอเข้าไปก็เจอแต่ชายไทยวัยกลางคนอย่างที่บอกน่ะ ไว้ผมสั้นรองทรงแซมด้วยผมหงอกขาว ลงพุง ห้อยพระ หน้าตาดูขี้งกและตกกระ ชอบเอะอะมะเทิ่งทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น ยิ่งพอใคร (ในนั้น) เริ่มเสียงดังหรือแรงขึ้นมา พวกที่เหลือก็ต้องเออออเห็นพ้องไปในลักษณะตามๆ กันไป แต่ในใจยังไงไม่รู้ พอเห็นแล้วก็บอกตัวเองว่าไม่เวิร์กว่ะ อย่าเชียวนะมึง เป็นไปได้กากบาททิ้งไปให้หมด ที่ไปเห็นมาน่ะ เคยจะเล่าให้เพื่อนฟังเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นมันไม่รู้จะเล่ายังไง
ถาม : หยุดยาวสี่วันที่ผ่านมาไปเที่ยวไหนมา? (ช่วงวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาควบด้วยเสาร์อาทิตย์)
ตอบ : กวนตีนผมอีกแล้วนะครับ
ถาม : ยังไง?
ตอบ : ก็ตรงที่รู้แล้วยังจะถามอีกไงล่ะ! (นิ่งนาน- สูดหายใจลึก- ยาว) มีงานตลอดทั้งสี่วันเลย ไม่ได้ไปไหน แต่เดือนหน้าว่าจะไป
ถาม : ไปไหน?
ตอบ : จะถามไปทำไม อยากรู้ขึ้นมาเชียวนะ
ถาม : อ้าว? เราตกลงกันแล้วนี่ ผมมีหน้าที่ถาม คุณมีหน้าที่ตอบ อย่าเฉไฉ จงไขขาน
ตอบ : ก็ได้ ยังไม่รู้หรอก แต่ไปแน่
ถาม : ขอให้สนุก
ตอบ : แน่นอน
ถาม : อยากฝากอะไรถึงคนอ่านไหม?
ตอบ : อ้าว? ไม่ถามต่อแล้วเหรอ?
ถาม : ไม่แล้ว ขี้เกียจ ดึกแล้วด้วย คนเราต้องพักผ่อน จริงไหม? คุณจะนอนน้อยเอาโล่เหรอไง จะฝากอะไรก็รีบฝาก เร็ว! (เสียงแข็ง)
ตอบ : อะไรของคุณเนี่ย ขอให้ได้กวนตีน อยากมีเรื่องใช่มั๊ย!
ถาม : ก็ได้เรื่องแล้วนี่ หรือยังไม่หนำใจ! ยังไม่พออีกหรือไง! ได้คืบจะเอาทั้งแขนเลยใช่ไหม อย่ามาเอะอะเป็นชายไทยวัยกลางคนหน่อยเลย ถ้ามีเวลาว่างมากนักก็ไปออกกำลังกาย หรือไปทำอะไรเพื่อสาธารณะประโยชน์โน่นไป จะได้ไม่ต้องมาหาเรื่องเขียนกับผม ไม่สิ- กับตัวเองอีก
ตอบ : แน่นอน แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวแหละที่อยากมีเรื่องกับคุณ ผมเลยอยากคุยกับตัวเองดู ว่าแต่ว่าคุณเองก็ขี้โวยวายใช่ย่อยนะ พุงก็มีแล้วด้วย ถ้าหาอะไรมาห้อยคอหน่อยนี่ได้เลยนะนั่น ผมจะไม่พูดลามเลยไปเรื่องของผมต่อแล้วกัน แค่นี้ก็คงพอแล้ว
.........
อืม... ฤๅจะเป็นอย่างที่ไอ้ห่านั่นมันบอก
7/11/2008
4 Days Ago Kids
เป็นความต้องการของคุณพี่เจ้าของบ้านที่คุณ Insomniac ออกแบบบ้านซิ่งๆ ให้เมื่อปีกลาย ที่เอ่ยปากเชื้อเชิญ (แว่วมาว่าแทบจะทุกเดือน) ให้คุณ Insomniac นั้นชวนเพื่อนๆ ไปเที่ยวที่บ้านพี่เขาบ้าง เรา- (ผมและเพื่อนๆ) ซึ่งอาศัยว่าบังเอิญตั้งใจเป็นเพื่อนเก่าลายครามกันตั้งแต่ช่วงมัธยมปลาย จึงพลอยได้อานิสงส์ผลบุญได้ออกนอกเมืองกันอีกครั้งหนึ่ง จากการเชื้อเชิญของเพื่อนหนุ่มให้ไปเที่ยวเป็นเพื่อน (ชอบเหตุผลนี้แฮะ) ด้วยว่าผลัดพี่เขามาหลายครั้งแล้ว เดี๋ยวบ้านที่ทำจะพานเสร็จเสียก่อน ถึงตอนนั้นอาจไม่เหมาะ จึงเห็นควรต้องรุดทำการเที่ยวเสียแต่ครานี้ จุดหมายปลายทางครั้งนี้ก็ไม่ใกล้ไม่ไกล บ้านพี่เขาอยู่ที่เมืองเก่าเมืองแก่ ‘ลพบุรี’ นี่เอง
ตลอดทริปนี้ คุณพี่ตู่ (ขออนุญาตเอ่ยชื่อนะครับ) เจ้าของบ้านและพี่น้อย-ภรรยา ดูแลต้อนรับขับสู้คณะทัวร์ที่ออกจะจับพลัดจับผลูมาร่วมกันได้ 6 ชีวิต (เท่าที่ผมพอจำได้ เป็น 6 ชีวิตที่ไม่เคยรวมกันมาก่อน) อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เราเลยไม่ต้องจัดการอะไรกันมาก ทำได้แต่เพียงเป็นเด็กดีอ้าแขนน้อมรับไมตรีจากพี่ๆ ทั้งสองและเก็บกอดไว้อย่างเต็มรัก ต้องขอแสดงความขอบคุณพี่ตู่และพี่น้อยอีกครั้งจากใจครับ ^_^
แปะภาพคณะเด็กดีเมื่อวันวานไว้ให้ดูกันเพลินๆ นะ ที่จริงแล้วถ่ายเป็นภาพสีมานั่นแหละ แต่อยากลองทำเป็นขาวดำ มันดูขลังและได้พลังอีกแบบดี : D ส่วนใหญ่ถ่ายที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์ และถ้าผู้ใดติดใจสงสัยว่าบ้านซิ่งนั้นหนาหน้าตามันเป็นยังไง ก็ตาม link นี้โลด --> http://hypothesise.blogspot.com เป็น blog ของคุณ Insomniac ที่เป็นทั้งพ่อและแม่งานในทริปนี้เขา
7/06/2008
7/04/2008
วับๆ WOM ๆ # 5
เนื่องจากการไปของมดซ่าส์ คนที่เป็นแบบให้ถ่ายวับๆ WOM ๆ เล่มแรกจนถึงเล่ม 4 ที่ได้โบกมือลาไปทำงานที่อื่นแล้ว ได้ข่าวแว่วๆ มาว่าจะไปเปิดร้านขายตุ๊กตา แขกรับเชิญพิเศษที่มาถ่ายวับๆ WOM ๆ เล่ม 5 ให้ในครั้งนี้จึงตกเป็นหน้าที่ที่เลี่ยงไม่ได้ของคุณกาตวย ดีไซน์เนอร์คนสวยของ WOM ซึ่งต้องอ้อนอยู่นาน กว่าจะยอม เพราะปกติคุณกาตวยจะง่วนอยู่แต่กับหน้าจอคอมฯ ทำงานกราฟฟิกน่ารักๆ ในเล่ม และคุณกาตวยก็ไม่ค่อยชอบถ่ายรูปเป็นทุนอยู่แล้วด้วย จึงเป็นเหตุให้ต้องใช้เวลาและคำหวานในการหว่านล้อม (และหลอกล่อ^^)
ถ้าไม่ผิดพลาด คาดว่าเล่มหน้าก็คงต้องรบกวนคุณกาตวยอีกครั้ง : D
WOM เล่มนี้นำเสนอเกี่ยวกับภูเก็ต ที่ลงไปถ่ายมาเมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาฯ ภูเก็ตเป็นอีกจังหวัดที่น่าไปเที่ยวพักผ่อน เพราะมีที่พักผ่อนสวยๆ เจ๋งๆ และเก๋ๆ อยู่เยอะ แต่ก็ต้องจ่ายแยะตามไปด้วยโดยปริยายและเข้าข่ายภาวะจำยอม
ถ้าไปเที่ยวกันเมื่อไหร่ก็บริหารจัดการสตุ้งสตางค์ให้เหมาะสมล่ะ^^
7/01/2008
บ้านหลังใหญ่กับคนรับใช้ใส่เครื่องแบบ
ถ้าไม่พูดถึงพล็อตเกี่ยวกับแม่ผัว ตัวอิจฉาและน้ำตาลูกสะใภ้แล้ว เท่าที่ผมพอจะนึกออกเกี่ยวกับละคร (ไทย) หลังข่าวนอกจากนี้ มันก็น่าจะมีบ้านหลังใหญ่ๆ มีบริเวณ แล้วก็คนรับใช้ที่ใส่เครื่องแบบอยู่ 4-5 คน รวมเอาคนสวนและคนขับรถเข้าไปด้วยแล้วในนั้น
ที่เกริ่นไปแบบนั้นก็เพราะว่าเพิ่งได้มีโอกาสได้นั่งดูละครกับเขาเต็มๆ เกือบ 2 ชั่วโมงแบบมีโฆษณาคั่นบันได (คือมีหลายขั้น) เมื่อวันก่อนตอนกลับไปบ้านสวนที่จันทบุรี เป็นความตั้งใจไว้แล้วว่าในหน้าผลไม้ (ช่วงเดือนเมษาฯ - มิถุนาฯ) ถ้าไม่โดนฉุดดึงด้วยงานจนเกินไป จะต้องหาเวลากลับมาบ้านในช่วงนี้ให้ได้ทุกปี แต่ 2-3 ปีหลังมานี้พอกลับมาบ้านสวนช่วงนี้ทีไรถ้าไม่เจอฝนตกหนักไปเลย ก็จะเจอแบบกระปิดกระปอย ทำให้มักไม่ค่อยอยากจะออกไปไหนต่อไหน ถ้าไม่เลือกที่จะหยิบจับหนังสือหนังหาเอามาอ่าน ก็จำต้องนั่งๆ นอนๆ ดูทีวีอยู่แต่ในบ้าน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทีวีโปรแกรมไป
และในยามค่ำคืน- แน่นอน- รายการหลักเลยคือละครหลังข่าวที่หลายต่อหลายคนแสดงทัศนคติว่าไม่นิยม และก็บอกว่าน่าเบื่อ ย่ำอยู่กับที่ ไม่รู้เมื่อไหร่ละครไทยจะพัฒนาเสียที มีแต่เรื่องผัวๆ เมียๆ ตบๆ จูบๆ
โดยปกติแล้วผมมักไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ดูละครทางทีวีแบบเต็มๆ ที่กรุงเทพฯ เท่าใดนัก จากเหตุที่ว่ากว่าจะเสร็จจากการงาน หรือหาข้าวปลายัดลงกระเพาะสำหรับมื้อเย็นให้เรียบร้อยก่อนแล้ว ก็ค่อนข้างไปทางดึก พอกลับถึงห้องเช่าก็อาจจะทันแค่เพียงตอน- สองตอนสุดท้ายของละคร ซึ่งมันก็ปะติดปะต่อเรื่องราวอะไรไม่ค่อยได้แล้ว ละครหลังข่าวจึงไม่ได้มาเจียดเบียดแบ่งตารางเวลาในหนึ่งวันทำการของผมแต่อย่างใด ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วถ้ามีโอกาสได้ดูแบบจดจ่อจริงจังก็อาจจะอยากรู้อยากติดตามตอนต่อไปก็เป็นได้
แตกต่างจากแม่ และคนเฒ่าคนแก่แถวบ้าน ที่ละคร (แม่ยืนกรานว่าไม่ใช่ละครน้ำเน่าอย่างที่ใครๆ เขาพูดกันแน่นอน และให้เหตุผลอ้างอิงว่าน้ำเน่านั้นมีแต่ในกรุงเทพฯ ซึ่งก็น่าจะมีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย) หลังข่าวอาจเป็นสื่อหรือช่องทางเพียงชนิดเดียวที่พอที่จะให้ความบันเทิงและเสียงหัวเราะ (รวมถึงเสียงก่นด่าตัวอิจฉาในเรื่อง) ยามค่ำคืนแก่ชาวบ้านในหมู่บ้านสวน (หรือบ้านนอก-ในความหมายเดียวกัน) ที่ไร้ซึ่งเสียงแสงและสีสันเช่นนี้ มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว
ละครคืนนั้นยังเหมือนเก่าก่อน ยังคงมีบ้านหลังใหญ่กับคนรับใช้ใส่เครื่องแบบให้เห็นอยู่เหมือนเดิม แต่เท่าที่เห็นและเป็นไปในละคร ดูเหมือนว่าคนในบ้านนั้นจะไม่ได้มีความสุขสบายใจเท่าใด ทั้งๆ ที่มันน่าจะเป็นอย่างนั้น บ้านหลังใหญ่และคนรับใช้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ภายในบ้านใหญ่หลังนั้นยังคงอิจฉาริษยา ชิงดีชิงเด่น แย่งชิงผลประโยชน์กันและกัน ใส่ร้ายป้ายสีโทษกันไปมาอยู่ คนดีๆ ก็ถูกกีดกันปิดกั้น เฝ้ารอคอยคืนวันที่ความจริงจะแดงแจ๋แฉและชี้ชัดให้ทนงศักดิ์ ประจักษ์กับตาขึ้นมา ซึ่งคงอีกไม่นาน ยังไงๆ เสียความจริงก็เป็นสิ่งไม่ตาย ก็ได้แต่หวังกันไป ทำกันเท่าที่พอทำได้กันไปก่อน
ดูไปดูมาก็คิดไปเรื่อยเปื่อย
เหม่อเผลอไผลใจลอยไปแปบเดียว ท่วงทำนองเพลงตอนจบของละครก็ได้ฤกษ์เริ่มบรรเลงบ่งบอกว่าหมดเวลาสำหรับค่ำคืนนี้แล้วสำหรับคุณผู้ชมทุกท่าน โปรดติดตามตอนต่อไป พร้อมมีตัวอย่างบางฉาก (ด่ากราด/ตบฉาด) บางตอนในครั้งหน้าช่วยดึงดูดว่าห้ามพลาด
ผมเห็นคล้อยตามอย่างที่แม่บอก- มันไม่ได้น้ำเน่าและน่าเบื่อหน่ายอย่างที่เขาว่ากันขนาดนั้น เรื่องราวมันพอรับได้ สนุกและสร้างความบันเทิงเริงใจได้ดี อีกอย่างมันก็เป็นรสชาติที่ถูกปากคนไทยดี เราคุ้นชินกับเรื่องราวลักษณะนี้ เนื้อหาทำนองนี้มานาน อาจไร้ซึ่งคุณค่าทางโภชนาการ แต่ทว่าอิ่มและอร่อย
แต่ถ้าจะให้เปลี่ยนได้จริงๆ- ไม่ต้องแก้พล็อตเรื่องหรือเนื้อหาหรอก เพียงแค่เปลี่ยนตัวโกงหน้าเดิมซ้ำๆ ที่น่าเบื่อหน่ายเห็นแล้วน่าส่ายหัวบางตัว (ซึ่งมีหลายตัว) ออกไปบ้าง มันคงน่าติดตามกว่านี้เยอะเลย ทั้งในละคร
(เพลงจบพอดี- ทีวีตัดเข้าข่าวสารบ้านเมือง)
และใน...
ที่เกริ่นไปแบบนั้นก็เพราะว่าเพิ่งได้มีโอกาสได้นั่งดูละครกับเขาเต็มๆ เกือบ 2 ชั่วโมงแบบมีโฆษณาคั่นบันได (คือมีหลายขั้น) เมื่อวันก่อนตอนกลับไปบ้านสวนที่จันทบุรี เป็นความตั้งใจไว้แล้วว่าในหน้าผลไม้ (ช่วงเดือนเมษาฯ - มิถุนาฯ) ถ้าไม่โดนฉุดดึงด้วยงานจนเกินไป จะต้องหาเวลากลับมาบ้านในช่วงนี้ให้ได้ทุกปี แต่ 2-3 ปีหลังมานี้พอกลับมาบ้านสวนช่วงนี้ทีไรถ้าไม่เจอฝนตกหนักไปเลย ก็จะเจอแบบกระปิดกระปอย ทำให้มักไม่ค่อยอยากจะออกไปไหนต่อไหน ถ้าไม่เลือกที่จะหยิบจับหนังสือหนังหาเอามาอ่าน ก็จำต้องนั่งๆ นอนๆ ดูทีวีอยู่แต่ในบ้าน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทีวีโปรแกรมไป
และในยามค่ำคืน- แน่นอน- รายการหลักเลยคือละครหลังข่าวที่หลายต่อหลายคนแสดงทัศนคติว่าไม่นิยม และก็บอกว่าน่าเบื่อ ย่ำอยู่กับที่ ไม่รู้เมื่อไหร่ละครไทยจะพัฒนาเสียที มีแต่เรื่องผัวๆ เมียๆ ตบๆ จูบๆ
โดยปกติแล้วผมมักไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ดูละครทางทีวีแบบเต็มๆ ที่กรุงเทพฯ เท่าใดนัก จากเหตุที่ว่ากว่าจะเสร็จจากการงาน หรือหาข้าวปลายัดลงกระเพาะสำหรับมื้อเย็นให้เรียบร้อยก่อนแล้ว ก็ค่อนข้างไปทางดึก พอกลับถึงห้องเช่าก็อาจจะทันแค่เพียงตอน- สองตอนสุดท้ายของละคร ซึ่งมันก็ปะติดปะต่อเรื่องราวอะไรไม่ค่อยได้แล้ว ละครหลังข่าวจึงไม่ได้มาเจียดเบียดแบ่งตารางเวลาในหนึ่งวันทำการของผมแต่อย่างใด ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วถ้ามีโอกาสได้ดูแบบจดจ่อจริงจังก็อาจจะอยากรู้อยากติดตามตอนต่อไปก็เป็นได้
แตกต่างจากแม่ และคนเฒ่าคนแก่แถวบ้าน ที่ละคร (แม่ยืนกรานว่าไม่ใช่ละครน้ำเน่าอย่างที่ใครๆ เขาพูดกันแน่นอน และให้เหตุผลอ้างอิงว่าน้ำเน่านั้นมีแต่ในกรุงเทพฯ ซึ่งก็น่าจะมีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย) หลังข่าวอาจเป็นสื่อหรือช่องทางเพียงชนิดเดียวที่พอที่จะให้ความบันเทิงและเสียงหัวเราะ (รวมถึงเสียงก่นด่าตัวอิจฉาในเรื่อง) ยามค่ำคืนแก่ชาวบ้านในหมู่บ้านสวน (หรือบ้านนอก-ในความหมายเดียวกัน) ที่ไร้ซึ่งเสียงแสงและสีสันเช่นนี้ มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว
ละครคืนนั้นยังเหมือนเก่าก่อน ยังคงมีบ้านหลังใหญ่กับคนรับใช้ใส่เครื่องแบบให้เห็นอยู่เหมือนเดิม แต่เท่าที่เห็นและเป็นไปในละคร ดูเหมือนว่าคนในบ้านนั้นจะไม่ได้มีความสุขสบายใจเท่าใด ทั้งๆ ที่มันน่าจะเป็นอย่างนั้น บ้านหลังใหญ่และคนรับใช้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ภายในบ้านใหญ่หลังนั้นยังคงอิจฉาริษยา ชิงดีชิงเด่น แย่งชิงผลประโยชน์กันและกัน ใส่ร้ายป้ายสีโทษกันไปมาอยู่ คนดีๆ ก็ถูกกีดกันปิดกั้น เฝ้ารอคอยคืนวันที่ความจริงจะแดงแจ๋แฉและชี้ชัดให้ทนงศักดิ์ ประจักษ์กับตาขึ้นมา ซึ่งคงอีกไม่นาน ยังไงๆ เสียความจริงก็เป็นสิ่งไม่ตาย ก็ได้แต่หวังกันไป ทำกันเท่าที่พอทำได้กันไปก่อน
ดูไปดูมาก็คิดไปเรื่อยเปื่อย
เหม่อเผลอไผลใจลอยไปแปบเดียว ท่วงทำนองเพลงตอนจบของละครก็ได้ฤกษ์เริ่มบรรเลงบ่งบอกว่าหมดเวลาสำหรับค่ำคืนนี้แล้วสำหรับคุณผู้ชมทุกท่าน โปรดติดตามตอนต่อไป พร้อมมีตัวอย่างบางฉาก (ด่ากราด/ตบฉาด) บางตอนในครั้งหน้าช่วยดึงดูดว่าห้ามพลาด
ผมเห็นคล้อยตามอย่างที่แม่บอก- มันไม่ได้น้ำเน่าและน่าเบื่อหน่ายอย่างที่เขาว่ากันขนาดนั้น เรื่องราวมันพอรับได้ สนุกและสร้างความบันเทิงเริงใจได้ดี อีกอย่างมันก็เป็นรสชาติที่ถูกปากคนไทยดี เราคุ้นชินกับเรื่องราวลักษณะนี้ เนื้อหาทำนองนี้มานาน อาจไร้ซึ่งคุณค่าทางโภชนาการ แต่ทว่าอิ่มและอร่อย
แต่ถ้าจะให้เปลี่ยนได้จริงๆ- ไม่ต้องแก้พล็อตเรื่องหรือเนื้อหาหรอก เพียงแค่เปลี่ยนตัวโกงหน้าเดิมซ้ำๆ ที่น่าเบื่อหน่ายเห็นแล้วน่าส่ายหัวบางตัว (ซึ่งมีหลายตัว) ออกไปบ้าง มันคงน่าติดตามกว่านี้เยอะเลย ทั้งในละคร
(เพลงจบพอดี- ทีวีตัดเข้าข่าวสารบ้านเมือง)
และใน...
Subscribe to:
Posts (Atom)