1/20/2011

Goldfinger

หลังจากชำระล้างเท้าด้วยน้ำอุ่น เธอก็เริ่มลงมือไล่ตั้งแต่ปลายเท้า ฝ่าเท้า ข้อเท้า น่อง ต้นขา ทั้งด้านหน้าและหลัง กดจุดเปิดกระบังลมตรงหว่างขา ผมรู้สึกได้ถึงการเต้นของชีพจรดัง ตุบ ตุบ ตุบ เป็นจังหวะจะโคนสม่ำเสมอภายในร่างกายท่อนล่าง ราวสองนาที เธอคลายปล่อย เลือดลมผมกลับมาไหลเวียนอีกครั้ง ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนช่วงล่างผมบอกลากลับบ้านหลังแล้วเสร็จจากการงานอันตึงเครียดตลอดทั้งสัปดาห์

ต่อมาเป็นคิวของแขนทั้งสองข้าง โดยเริ่มจากขวา ข้างถนัดของผม เธอบรรจงกดนวดเริ่มจากฝ่ามือ หมายรวมถึงอุ้งมือและนิ้วทั้งห้า ข้อมือ ท่อนแขน ช่วงมัดกล้าม (ที่มีอยู่น้อยนิด) ไล่มาถึงหัวไหล่ รักแร้ และลึกเข้าไปถึงไหปลาร้า หน้าอก แล้วย้อนกลับทั้งกระบวนออกไปสู่ฝ่ามือ ต่อจากนั้นเธอก็เคลื่อนย้ายเปลี่ยนปีกข้ามฟากไปยังฝั่งซ้าย ถึงตอนนี้ผมเริ่มเคลิ้มหลับด้วยความผ่อนคลาย แต่ไม่สนิทนัก เพราะเธอยังคงกดและแกะเกี่ยวเส้นสายในร่างกายผมอย่างต่อเนื่อง

เจ็บครับ แต่ทนได้ -- ผมขานตอบเมื่อยามที่เธอไถ่ถามว่าเจ็บไหม
ที่จริงเธอคงไม่ถาม ถ้าไม่มีเสียงอ๊ะ อิ๊ อุ๊ เอ๊ะ โอ๊ะเล็ดลอดออกจากปากผม ซึ่งก็จะมาพร้อมกันกับหน้าตาอันเหยเก

ขาแล้ว แขนแล้ว ทีนี้ก็มาถึงช่วงหลัง ซึ่งก็จะเป็นการนวดรวมหมดทั้งคอ บ่า ไหล่ ส่วนที่ผมรอคอย ก็เพราะไอ้ส่วนที่ว่านี้นี่แหละที่มันเมื่อยล้าสาหัสสุดจะทานทน จึงจำเป็นให้ต้องหาเวลามาร้านนวดแผนไทยแห่งนี้ ร้านธรรมดาสามัญหนึ่งในหลายๆ ร้านในซอยวัดวรจรรยาวาส เส้นถนนเจริญกรุง ไม่มีแม้แต่เครื่องแบบพนักงาน แต่หลายต่อหลายคนแนะนำถึงความเข้มข้นในการนวดกดจุดบำบัดคลายเส้นว่าชะงัดนัก และที่แนะนำนี่ก็รวมถึงหมอจากวัดโพธิ์ ต้นตำรับนวดไทยที่ผมแวะเวียนไปเป็นประจำก่อนหน้านี้ด้วย (แต่มีเหตุบางประการให้ต้องเปลี่ยน เหตุผลที่ไม่สู้ดีนัก และผมก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเล่าเรื่องนั้นตอนนี้)

เป็นเช่นนั้นจริง ผมยืนยัน เพราะหมอเธอกดแต่ละจุดนั้นสุดยอด ไม่ว่าจะเป็นด้วยนิ้วมือหรือข้อศอก

กับแผ่นหลัง เธอกดไล่ตั้งแต่เส้นท้ายทอย เลาะเลียบขนานสองข้างของแนวกระดูกสันหลัง ยาวผ่านช่วงเอวไปจนถึงก้นกบ น้ำหนักหนักสลับสับเปลี่ยนจากนิ้วและศอกคล่องแคล่วตามความเหมาะสมหนักเบา ไม่ได้กล่าวอวยกัน ท่วงทำนองในการบีบนวดของเธอนั้นน่าประทับใจยิ่งนัก เหมือนการประมวยกับยอดฝีมือ เพราะเพียงเพลงแรกเราก็พอจะรู้ได้ไม่ยากแล้วว่าใครของจริงของปลอม ยิ่งกระบวนท่านาทีที่เธอรีดเส้นเค้นไล่พังผืดที่เกาะตามแนวสะบักกลางหลัง ยิ่งทำให้ผมสุขสมอารมณ์หมาย พานให้นึกย้อนกลับไปถึงเธอคนนั้นในวัดหมื่นล้าน วัดเล็กๆ ริมถนนคนเดินเชียงใหม่ ที่ที่ผมเคยรับมือ (และศอก) นั่นก็ยอดฝีมือในระดับเดียวกัน

.........

ร้อยยี่สิบนาทีแห่งความหฤหรรษ์มหัศจรรย์ผันผ่าน
เธอจับผมเอี้ยวบิดตัวซ้ายขวา และปิดท้ายด้วยการสับหลังดังสนั่นลั่นร้านต่อเนื่องยาวนาน พั่บ พั่บ พั่บ พั่บ พั่บ ผมในท่านั่งขัดสมาธิกระทั้นสั่นไหวไปด้วยแรงกระแทกจากการสับด้วยสันมือของเธอ

อา.. การนวดไทยช่างเป็นศาสตร์ที่นำมาซึ่งความผ่อนคลายโดยแท้

เสร็จแล้วค่ะ -- เธอกล่าวจบการทำงานด้วยน้ำเสียงมืออาชีพ
ผมยกมือไหว้ขอบคุณ สังเกตเห็นเม็ดเหงื่อเล็กน้อยบนใบหน้าของเธอ
เธออธิบายว่าวันนี้พรุ่งนี้จะมีอาการปวดระบมนิดหน่อยเป็นธรรมดา แต่หลังจากนั้นจะดีขึ้นตามลำดับ และให้พยายามหาเวลามานวดซ้ำอีก และอย่างสม่ำเสมอด้วย อย่างปล่อยทิ้งไว้นาน

ผมรับทราบแล้วเอนตัวลงนอนราบบนฟูกใยมะพร้าว
พริ้มปิดตาหลับลง ประวิงเวลาที่จะต้องลุกขึ้น
ด้านปลายเท้ามีน้ำมะตูมต้มร้อนๆ ที่เธอเตรียมไว้วางรออยู่
รู้ตัวเองว่าต้องไปต่อเพราะเวลาที่ตกลงกันได้หมดลงแล้ว
ต้องเข้าใจว่าวันนี้เธอยังต้องเจออีกหลายราย

1/04/2011

สวัสดีปีกระต่าย


ผมเชื่อว่าเราทุกคนล้วนมีความฝัน
ความฝันนั้นทำให้เรานั้นมีเรี่ยวแรง มีชีวิตชีวา และแววตาที่เป็นประกายเวลาที่เราพูดถึงมัน

ฝันอยากเป็นคุณหมอ เป็นคุณครู ฝันอยากเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์
ฝันอยากเป็นนักร้องดารา ฝันอยากมีบ้าน อยากมีร้านเป็นของตัวเอง
หรือเพียงใฝ่ฝันอยากมีคู่ชีวิตที่ดี ฝันอยากไปเที่ยวอิตาลี ไปญี่ปุ่น

เช่นกัน— ผมเองก็มีความฝัน
และก็รู้อยู่แหละ ว่าวิธีที่จะจัดการกับความฝันที่ดีที่สุดก็คือการลงมือทำ

สมัยวัยกระเตาะผมเคยคิดฝันอยากเป็นนักฟุตบอลทีมชาติ เพราะชื่นชอบในกีฬาฟุตบอล และเหมือนผมจะหลงรักมันเข้า คนเคยเล่นคงรู้ ว่ามันสนุกมากจริงๆ เวลาที่เราได้กระชากลากเลื้อยอยู่บนสนาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลาที่เราสับไกยิง และทำประตูฝั่งตรงข้ามได้
แต่พอโตขึ้นๆ จึงได้รู้และเข้าใจว่าถ้าเมื่อใดก็ตามที่ยังไม่พยายามฝึกซ้อมเดาะบอลให้ถึง 20 ทีสักที ก็เห็นทีว่าชาตินี้คงยากยิ่งกว่ายาก

พอพ้นจากวัยเรียนเข้าสู่วัยทำงาน ผมริหันมาสนใจในการอ่าน
ซึ่งมันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็จำไม่ได้เสียแล้ว
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือผมหลงรักมันเช่นกัน
ผมรู้สึกว่าการอ่านนั้นทำให้เรามีมุมมองกับเรื่องราวต่างๆ เปลี่ยนไป
ซึ่งผมก็ว่ามันสนุกดีที่เป็นแบบนั้น

เป็นธรรมดาที่พออ่านมากเข้าๆ เราก็อยากเขียนบ้าง
แล้วความฝันเล็กๆ อยากมีหนังสือรวมเล่มเป็นของตัวเองสักเล่มจึงไฉไลขึ้น
ซึ่งผมคิดว่าผมทำได้ เพราะมันง่ายกว่าการเดาะบอลเป็นไหนๆ (รึเปล่า?)
และอย่างที่บอกไป ว่าวิธีจัดการกับความฝันที่ดีที่สุดก็คือการลงมือทำ
ผมจึงเป็นมั่นเป็นเหมาะเริ่มขีดเริ่มเขียน เริ่มเรียบเรียงเรื่องราวที่อยากบอกอยากเล่าออกมาในรูปแบบของตัวหนังสือออนไลน์ในเว็บบล็อก

เขียนไปเขียนมาเวลาก็ล่วงผ่านไปแล้วกว่า 4 ปี

กับชีวิต— หากลองเปรียบดั่งกีฬาฟุตบอลที่รัก ถ้าอายุขัยเฉลี่ยของคนเรานั้นอยู่ที่ 60 ปี นาทีนี้ผมก็คงอยู่ในช่วงต่อเวลาพิเศษก่อนหมดครึ่งแรกของชีวิตเต็ม.... ที่แล้ว (คือแบบว่าพยายามจะเลี่ยงใช้คำว่า “เต็มแก่” สุดๆ น่ะ)
และก่อนที่เรื่องราวของชีวิตเล็กๆ ของผมจะดำเนินเข้าสู่ครึ่งหลัง
ด้วยไฟและกำลังใจที่ยังไม่อ่อนและล้าจนเกินไป ผมจึงเห็นควรที่จะจัดการกับความฝันที่ว่าของผมเสียที

ในวาระครบ 4 ปีในการเขียนบล็อก โปรเจ็กต์รวมความเรียงในชื่อ “ทำ-เป็น-เล่ม-ไป” จึงเกิดขึ้น
อาจไม่สวยไม่หรูเหมือนที่เคยใฝ่ฝันไว้เท่าไหร่ แต่ยูหโน้วว์— มันเหมือนผมทำประตูได้ในนาทีสุดท้าย
มันเป็นปลื้ม สะใจ และก็สาสมแก่ใจว่ะ
ที่ได้ทำความฝันเล็กๆ ของผมนั้นให้สำเร็จเป็นเล่มไปก่อนสัญญาณเสียงนกหวีดยาวจะดังขึ้น

.........

ร่างสุดท้ายจากคำนำในหนังสือทำมือ “ทำ-เป็น-เล่ม-ไป” ที่ทำไว้
ลงความเห็นเองแล้วว่าควรจะเอามาแปะเจิมให้กับ 1306ix ปี 5 เป็นอย่างยิ่ง


สวัสดีปีกระต่าย