7/30/2009

in the MOON for love

ไปป้วนเปี้ยนอยู่แถววังหลัง – ท่าพระจันทร์มาเดือนเศษๆ ครับ
เนื่องจากลงเรียนภาษาอังกฤษแบบเบาๆ ที่ธรรมศาสตร์ไว้
เรียนกันตอนเย็นๆ ของทุกวันพุธ และวันศุกร์ หกโมงเย็นถึงสองทุ่มครึ่ง
เป็นคอร์สสำหรับประชาชนทั่วไป จึงมีครบทุกช่วงอายุ
ไล่เรียงตั้งแต่คุณน้องๆ นักเรียน ม.6 นักศึกษามหาวิทยาลัย
เด็กจบใหม่ และผู้ใหญ่วัยทำงาน
วันนี้เป็นวันจบคอร์สพอดี ได้รับใบประกาศฯ มาด้วย

พอรู้ตัวว่าอาทิตย์หน้าจะไม่ต้องเดินลอยชายเล่นแถวนั้นแล้วปุ๊บ (โดยเฉพาะจะไม่ได้กินของอร่อยๆ ที่ตลาดวังหลังในตอนเย็นๆ พวกข้าวเหนียวหมูปิ้งนมสด และน้ำส้มคั้นก่อนเข้าเรียน อีกด้วยสุกี้แห้งกับหอยทอดหอยนางรมกระทะร้อนฉ่าตอนกลางคืนหลังเลิกเรียนแล้ว) ก็ยังให้มาถึงด้วยอากาศคิดถึงปั๊บ เลยอยากเขียนเป็นบันทึกรักเพื่อระลึกถึงเสียหน่อย เอาแบบอ่านเพลินๆ

พูดถึงการเรียน
ตั้งแต่เรียนจบมาก็ไม่ได้พาตัวเองเข้าห้องเรียนเลย
บรรยากาศในห้องเรียนนั้นยังเหมือนเดิม
ทั้งสนุก และก็น่าเบื่อ (บ้าง บางวัน)
แต่รวมๆ แล้วที่ได้มานั่นคือ Knowledge
เพราะความรู้นั้นคือสิ่งเดียวที่เราควรเก็บเกี่ยวตลอดเวลา

เวลาเลิกเรียนนั้นส่วนใหญ่ก็มักจะล่วงเลยเวลาเสมอ
เนื่องจากอาจารย์ผู้สอนท่านชอบแถมเรื่องเล่าต่างๆ นานาให้ฟังท้ายชั่วโมง
โดยเฉพาะเรื่องประสบการณ์ชีวิตของท่านเมื่อสมัยเป็นนักเรียนนอก
และการแสดงทัศนะวิจารณ์ความแตกต่างของยุคสมัย
อันนี้แหละที่ผมบอกว่าสนุก


เรือข้ามฟากตรงท่าพระจันทร์เที่ยวสุดท้ายนั้นหมดสามทุ่ม
ผมจะต้องใช้บริการตอนขากลับ เพราะต้องนั่งข้ามฟากมายังฝั่งธนฯ
เพื่อที่จะมาต่อรถเมล์กลับที่พักอีกที (ผมอาศัยอยู่ฝั่งธนฯ)
และก็เป็นประจำที่ผมมักจะได้ยืนรอเรือข้ามฟากเที่ยวสุดท้ายอยู่เสมอด้วยสาเหตุจากเวลาเลิกแบบเฉียดฉิวที่ว่า
แล้วเรือฯ เที่ยวสุดท้ายนั้นมันก็หมดตอนสามทุ่มเป๊ะ แบบไม่มีอิดออดแอบแล่นนอกรอบต่อซะด้วย

ในกรณีที่ไม่ทันเรือข้ามฟากเที่ยวสุดท้าย เราก็ต้องเดินไปขึ้นที่ท่าช้างแทน
ซึ่งก็ไม่ไกลกันมากนัก เดินอึดใจเดียวก็ถึง เรือฯ ที่ท่าช้างนั้นมีถึงห้าทุ่มโน่นแน่ะ
ทว่าตามทางเดินไปท่าช้างจากธรรมศาสตร์ตอนสามทุ่มนั้นมันไม่ค่อยเจริญหูเจริญตาเท่าไหร่นักหรอก (นะ จะบอกให้) ถ้าคุณต้องเดินคนเดียว เพราะว่าร้านรวงต่างๆ รายทางเขาปิดกันหมดแล้ว มันจะนัวร์ๆ (Noir) นิดหน่อย

กลับมาที่ท่าพระจันทร์กันดีกว่า
เรื่องของเรื่องที่จะเล่าก็คือ มันจะมีช่วงอารมณ์ธรรมดาที่ไม่ธรรมดาเวลาที่คุณยืนรอเรืออยู่บนโป๊ะตอนกลางคืนที่ท่าพระจันทร์ ซึ่งมันก็ได้เกิดขึ้นกับผมในทุกครั้งที่ยืนอยู่ที่นั่น ถ้าใครเคยใช้ชีวิตหรือได้มีโอกาสแวะเวียนไปเที่ยวแถวนั้นคงพอรู้บ้าง (ใช่ไหม?) ว่าบรรยากาศบนโป๊ะตอนกลางคืนนั้นมันเป็นอย่างไร

คือมันจะมีอารมณ์บางอย่างเกิดขึ้น

ผมเรียกมันเอาเองว่า “อารมณ์พระจันทร์”
ผมชอบช่วงเวลาตอนนั้น
ตอนที่ลมเย็นๆ โชยโบกธงบนโป๊ะให้สะบัดพัดพริ้ว
ชอบที่ได้เห็นแสงสีนวลระยิบระยับที่สะท้อนในน้ำของวัดระฆังฯ
ภาพของโรงพยาบาลศิริราชที่แสนสุขุมเข้มขรึม
ชอบเวลาโคลงเคลงไปมาตอนที่ยืนตากลมตากลมรอเรืออยู่บนโป๊ะ
ได้เห็นภาพของเรือข้ามฟากล่องลอยอยู่กลางแม่น้ำค่อยๆ ตีวงโค้งเพื่อเทียบท่า
เสียงเจ้าพระยาซัดใส่โป๊ะน้ำซ่านกระเซ็น
และมีเรือขนทรายเลื่อนแล่นผ่านสายตาไปอย่างช้าๆ ในบางครา

ไม่รู้สิ...
มันเป็นอารมณ์ประมาณว่าสามารถทำให้เราลุ่มลึกในความรู้สึกขึ้นมาได้น่ะ

จริงๆ นะ พระจันทร์

7/17/2009

Good-bye days



เชยมาก
เพิ่งจะได้ดูกับเขาเหอะ
หนังเศร้า แต่สวย
ชอบฉากตอนท้ายๆ ที่พ่อพูดถึงลูก ซึ้งสุดๆ
ที่สำคัญเลยคือเพลงประกอบเพราะโคตร
(และ YUI ก็น่ารักมั่ก^^)
แนะนำให้ลองหามาดูกัน
ชื่อเรื่องว่า "Taiyou no Uta"
สอบถามผู้รู้ให้แล้ว แปลประมาณว่า "บทเพลงแห่งพระอาทิตย์"
ชื่อภาษาอังกฤษคือ "Midnight Sun"

7/12/2009

capeDium

ครั้งนี้คงต้องยอมและน้อมรับครับ
ถ้าจะคิดว่าผมเวิ่นเว้อ, ทำเป็น’เว่อร์ หรือพูดจาเพ้อเจ้อ

สารภาพก่อนเลยว่าทดเรื่องนี้เก็บไว้นานแล้ว
และหลีกเลี่ยงเหลือเกิน ที่จะเอามาลง
เพราะหลังๆ มานี่ผมมักโดยเพื่อนๆ ค่อนขอดอยู่เสมอๆ ว่าชักจะทำตัวเหลวไหลเลอะเทอะเปรอะปะไปเรื่อย
(แต่ยังพอมีโชคอยู่บ้างที่ยังไม่ถึงกับไปทำตัวเกะกะใครเขา)
ใจจึงหวั่นๆ ว่าจะ ‘โดน’ เข้าอีกดอก
ในข้อหาชอบคุยโวโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง

ถูกแล้ว- เพื่อนกันต้องติติง ตักเตือน และตบบ่ากันและกัน
พอลองคิดดูแล้วก็จริงดังคำที่เพื่อนว่า
ยิ่งอ่านทวนบันทึกชิ้นนี้นี่ก็ยิ่งจนแต้มเข้าไปใหญ่

แต่…

เสียดายครับ
เพราะตอนแรกที่ร่างเรื่องนี้ตัวผมอยู่ในอารมณ์ที่คึกคักเวลาลงเล่น และฉึกฉักเวลาละเลงมาก เนื่องจากร่ายร่างแรกบนรถไฟ
จึงดื้อดึงดันกัดฟันกรอดและคิดว่าโดนเป็นโดน (วะ)
ก็ผมอยู่ในอารมณ์ที่จะเล่านี่นา

หรือเพราะบางครั้งเราต่างก็ตั้งใจจะละเลยสิ่งที่ตระหนักรู้อยู่แล้ว
ทั้งๆ ที่รู้ แต่ก็มิวายเผลอไผล ปล่อยตัวปล่อยใจ
ซึ่งไอ้เรื่องแบบนี้ผมเองก็ยังแก้ไม่ตกสักที

………

วันนั้นเป็นวันเสาร์ที่แสนจะธรรมด๊า ธรรมดาวันหนึ่ง
แต่ถ้าใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ขั้นสูง ให้สมกับที่จบระดับมัธยมปลายสายวิทย์- คณิต ผสมเข้ากับภูมิปัญญาชาวบ้านลองดีตีเป็น ‘ตัวเลข’ อย่างที่พี่ป้าน้าอาเขาตีเป็น ‘หวย’ กันบ้างก็จะได้ (เลขที่) ออกมาดังนี้

ค่าเริ่มต้นคือ : วันเสาร์ที่ 13 เดือนมิถุนายน พุทธศักราช 2552
จากวันที่ 13 เดือน มิถุนายน พุทธศักราช 2552
ก็จะเป็น --> วันที่ 13 เดือน 06 คริสตศักราช 2009
ก็จะเป็น --> 13.06.2009
ก็จะเป็น --> 130609
ศูนย์ไม่มีค่า เราตัดทิ้งไป แต่แอบกั๊กเก็บเป็นกิ๊กไว้หนึ่ง ก็จะเป็น --> 13069
แปลงค่า 9 ให้เป็นเลขโรมันบนนาฬิกา ก็จะเป็น --> ix
ผลลัพธ์ก็จะเป็น : 1306ix

BINGO!!

เท่านี้วันเสาร์ที่ดูแสนจะธรรมด๊า ธรรมดาวันหนึ่งวันนั้น ก็กลายเป็นวันพิเศษ (สำหรับผม) ขึ้นมาในบัดดล
และมันมีค่าพอที่จะฉกฉวยวันเวลาที่ตีออกมาได้เก็บกอดไว้กับอกจริงๆ

จึงก่อเกิดอาการ ‘คัน’ คะเยอยิบๆ อยู่นิ่งๆ ไม่ได้
เห็นควรจะต้อง ‘เกา’ ด้วยการออกไปข้างนอก
โดยวิธีการนั่งรถไฟฟรีไปชิม MOCCA ที่หัวหิน แล้วจับรถไฟเที่ยวกลับตอนดึกๆ กลับ น่าจะพอบรรเทาไอ้อาการที่ว่าได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

และแล้วทุกอย่างของวันนั้นก็ดำเนินไปอย่างช้าๆ
ขออนุญาตไม่เล่าลงรายละเอียดแล้วกัน
เพราะมันเยอะมากกกกกกกกก และนิดหน่อยเหนื่อย
แต่จะแอบกระซิบบอกอะไรให้อย่างหนึ่งว่า

ถ้าผมไม่ทะลึ่งตึงตังสร้างสถานการณ์บ้าบอตีวันเวลาเป็นเลข และตัดสินใจกระโดดขึ้นรถไฟเที่ยวนั้นไป ผมเองก็คงไม่มีวันเวลาที่ได้นั่งหย่อนก้นลงบนพื้นทรายนวลนุ่มท่ามกลางคนหนุ่มสาวหลายร้อย และค่อยๆ ดื่มด่ำรสชาติของ MOCCA สดๆ ที่มีลุลากับลูกหว้า ดูบาดู เป็นส่วนผสม ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ มีลมทะเลพัดโชยยามค่ำคืนโดยที่มีเสียงคลื่นคอรัสเบาๆ เคล้า

เชื่อมั้ย! มันเป็นอีกหนึ่งความหวานของวันวานที่เราสามารถสร้างขึ้นมาได้ด้วยตัวเราเอง

(นี่ถ้าเป็นหวยนะเธอ ชั้นว่างวดนั้นชั้นถูกรางวัลใหญ่เลยแหละ)

7/08/2009

C1D12


วันที่ 8 – 12 เดือนนี้ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เขามีงานเทศกาลหนังสือเด็กและเยาวชน (Book Festival for Young People 2009) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 7 แล้ว สำหรับคุณน้องๆ หนูๆ และผู้ปกครองทั้งหลาย

ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ยังอยู่ในมหานครพอดี ไม่ได้เร่ร่อนไปไหนไกลเหมือนแต่ก่อน และว่างอย่างมากมาย เลยไปรับงานช่วยขายคอร์สสอนภาษาอังกฤษเบื่องต้นทางอินเตอร์เนตสำหรับเด็กๆ เลยว่าจะติด “ดอยไปดอยมา” ที่ทำเพิ่มไว้อีกนิดหน่อยตอนลงไปใช้แรงกายตามสมควรอยู่ที่บ้านสวนเมื่อเดือนที่แล้วไปจำหน่ายด้วย

ของมีจำนวนจำกัดดังเดิม และจะไม่ทำเพิ่มแล้ว
(เพราะกลัวเหลือเกินว่าจะเหลือแหละ -_-’)

ใครว่างในช่วงที่ว่าก็แวะเวียนไปซื้อหามาไว้ในครอบครองได้
หรือจะแค่ไปเยี่ยมเยียน, ส่งข้าวส่งน้ำ หรือส่งยิ้มให้กันก็ได้เน่อ
จะเจื้อยแจ้วกับเด็กๆ อยู่ที่บูธ D 12 โซน C 1 จ้า


ป.ล. เข้าพรรษาแล้ว งดอะไรได้ก็งดกันนะ

7/02/2009

Friday I’m in curve


เป้าหมายของผมและเอไอกับบาหลีในวันท้ายสุดนั้นอยู่ที่แสงสุดท้ายของวัน ซึ่งกำลังจะฉายฉานฉาบอาบคาบสมุทรบูกิต (Bukit Peninsula) ที่ริมหน้าผาของวัดอูลูวาตู (Ulu Watu) ในเวลาหกโมงเย็นเศษๆ

เรากำลังจะท้าพิสูจน์ด้วยสายตาตัวเองว่าทำไมใครต่อใครที่โลวินาถึงได้แนะนำกันจังว่านี่เป็นหนึ่งในสิ่งอัศจรรย์ที่พลาดไม่ได้เมื่อมายังเกาะสวรรค์แห่งนี้ จึงจัดแจงเช่ารถขับไปพิสูจน์กัน

ส่วนใหญ่แล้วในวันสุดท้ายกับการเดินทางท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม อากาศนั้นมักจะเป็นใจให้ในวันที่เราจะต้องจากจรเสมอ- วันนี้ก็เช่นกัน

ว่ากันว่าวันนี้ถ้าอากาศไม่เปลี่ยนไป
ผมและเอไอจะได้เห็นท้องทะเลทั้งผืนนั้นกลายเป็นสีทอง

.........

วันนั้นเป็นวันศุกร์ และเรากำลังเลี้ยวซ้าย

เท่าที่สังเกตเห็น- มือเธอไม่ได้กำพวงมาลัยไว้
แต่เป็นการแบออก- แล้วใช้ฝ่ามือขวาทาบและวาดกวาดเป็นวงวิถีโค้งจากขวาไปซ้ายวนทวนเข็มนาฬิกาประเภทอะนาล็อกประมาณสาม- สี่รอบ แล้วลำตัวเธอก็เอียงเฉียงไปทางขวาเล็กน้อยตามแรงหนีศูนย์ ในขณะที่มือซ้ายตบเป็นจังหวะในการเลี้ยวลงบนต้นขาซ้าย

ผมเองก็เอียงเอนไปแนวเดียวกันกับเธอ

ในตอน (ที่กำลังเอียง) นั้นเองที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองนั้นชอบอาการเอนไปทางขวาบนวิถีโค้งของหนทางมากกว่าการเอียงไปทางซ้ายในเวลาที่เส้นทางเบื้องหน้านั้นเบนเบี่ยงเลี่ยงจากทางตรงไปทางขวา

“เดี๋ยวเราขอพาอ้อมหน่อยนะ ทางข้างหน้ารถมันติดและขรุขระเกินไป อาจเป็นอันตรายต่อตับไตไส้พุงของเราได้ แต่ถ้าขับเลี่ยงไปทางนี้มันจะอ้อมหน่อย ถนนดีกว่า วิวสวยกว่า และยังพอมีเวลา เผื่อว่าเธอจะอยากถ่ายรูปเก็บไว้”

เอไออธิบายตอนที่ลำตัวเราทั้งสองกำลังใกล้จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติของแรงโน้มถ่วงโลก
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ธรรมชาติภายนอกรอบข้างที่นั่น, แรงหนีศูนย์ และวิถีโค้งซ้ายโค้งนั้นมันก็ทำให้ผมเข้าใกล้เธอ และเข้าใจตัวเองมากขึ้น

อา.. ช่างเป็นการเลี้ยวซ้ายที่ลึกซึ้งจริงๆ

จะว่าไปทำไมอยู่ๆ ผมดันมาใส่ใจจำจดทดกับเรื่องเล็กๆ ที่ไม่เป็นเรื่องเหล่านี้ไว้ในใจก็ไม่รู้แฮะ รู้แต่เพียงว่าผมคงไม่อาจหลงลืมวูบอาการที่ว่าไปง่ายๆ แน่นอน

“ผ่านโค้งนี้ไปเราก็จะถึงกันแล้ว”
เธอเอ่ยออกมาพร้อมป้ายยิ้มใส่หน้าผม

กับเอไอ- คล้ายว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป
ผมเก็บความแคลงใจบางอย่างเกี่ยวกับเธอไว้ภายใน ทั้งๆ ที่เธอบอกว่าเธอเพิ่งเคยมานี่นา แต่ทำไมถึงได้รู้เส้นทางดีจัง เธอแสดงออกถึงความมั่นใจในเส้นทางตั้งแต่ในตอนที่อาสาเป็นคนขับแล้ว เอไอกับผมเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกที่สนามบินสุวรรณภูมิ เราพูดคุยกันถูกคอในระหว่างรอเครื่อง ก่อนจะตกล่องปล่องชิ้นกอดคอมาเที่ยวด้วยกันที่นี่เป็นครั้งแรก

การเดินทางเปลี่ยนแปลงเราทุกคนไปจากเดิมจริงๆ ทั้งเอไอ และผม

ที่เห็นได้ชัดคือจากที่เคยหยาบโลน
เธออ่อนโยนขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
ความน่าจะเป็นมีมากมายเกินไปที่จะครุ่นคิด
บาหลีคงมีอะไรบางอย่างที่ไม่มีคำอธิบาย

Everybody's changing and I don't feel the same...

ผมหยุดคำถามและความสงสัยแล้วหันมองไปข้างหน้าแทน
มีแสงสว่างบางอย่างรอเราอยู่ที่ตรงนั้น

.........