3/22/2010

Red Dress



ชุดแดง เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง...

3/15/2010

Confession of pain

ใครๆ ก็รู้ว่าคืนวันเพ็ญที่จันท์นั้นสวยแค่ไหน

เอาใหม่— ผมคงต้องเขียนว่า
ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าคืนวันพระจันทร์เต็มดวงที่ไหนในเมืองไทยที่สวยที่สุด ผมก็จะแอบกระซิบบอกให้ก็ได้ว่า “จันทบุรี” ไงล่ะ
ที่ที่จะทำให้คุณประทับใจไปกับคืนขึ้น 15 ค่ำ
อีกอย่าง—สีสันของจันทร์ที่นี่ก็แตกต่างลิบลับกับ “เหลืองจันทร์” ที่เจ๊ร้านทำเสื้อยืดจะใช้ถามคุณเวลาที่คุณต้องการเลือกใช้สีเหลืองสกรีนลงบนเสื้อยืดว่า “เหลืองจันทร์” รึเปล่า เพราะมันนวลตากว่าแบบเทียบกันไม่ติด

นี่ไม่ได้โม้ หรือสำนึกรักบ้านเกิดแล้วมาเขียนส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับจังหวัดตัวเองแต่อย่างใดนะ
หรือคุณจะไปดูจันทร์เต็มดวงที่กาฬสินธุ์ล่ะ!

So better come back to “City of Moon”
(เอาล่ะ กลับมาที่จันทบุรีดีกว่า)
อย่างที่บอก
ผมและบาบาร่าห์ลงมาที่นี่เพื่อสิ่งนี้
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันหยุด และเป็นวันพระใหญ่ที่ดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ คือตรงกับวันเพ็ญเดือน 3

เนื่องจากเราตั้งใจกันไว้ว่าจะไปร่วมพิธีเวียนเทียนที่วัดแถวบ้านผมตอน 2 ทุ่ม
และยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงในช่วงเย็น
เหมือนแม่ของเธอ— บาบาร่าห์ชอบเดินตลาด
จะเล็กจะใหญ่ ถ้ามันคือตลาด เธอ (และแม่ของเธอ) แวะหมด
ผมจึงจัดการพาเธอซ้อนท้ายมอเตอร์ไซส์เก่าๆ ที่บ้าน และพาขี่รถเที่ยวในยามแดดร่มลมตก
เป้าหมายคือย่านตลาดเก่าริมน้ำท่าหลวงในเมือง ต่อด้วยใกล้ๆ กันกับอาสนวิหารวัดโรมันคาทอลิกสุดแสนวิจิตร ที่เพิ่งฉลองครบ 100 ปี ไม่เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว และปิดท้ายเส้นทางท่องเที่ยวเบาๆ ของเราด้วยบริเวณรอบๆ ตลาดน้ำพุ ซึ่งในทุกเย็นย่ำวันอาทิตย์แบบนี้ ทางจังหวัดได้จัดเป็นถนนคนเดิน ให้ใครต่อใครได้เดินเล่นชมช้อปฯ

บรรยากาศยามเย็นต้นฤดูร้อนวันนี้ดีเอามากๆ
ระหว่างทางจากบ้านเข้าไปในตลาดจันท์ มีพุ่มพวงของลมแล้งเหลืองลออสะพรั่งตัดกับเขียวสดของใบไหวลู่เล่นกับลมเย็นๆ ทั้ง 2 ฝั่งไปมา บางช่วงก็มีสีชมพูจางๆ ของตะแบกแทรกขึ้นมาบ้าง ทำให้วิวข้างทางของเรานั้นเจริญหูเจริญตายิ่ง
และนี่เป็นคำตอบเดียวของผมหากจะมีใครถามว่าชอบฤดูร้อนตรงไหน

แล้วช่วงเวลาแห่งความสุขก็ล่วงผ่านไปพร้อมๆ กับการร่วงหล่นอย่างสวยงามของดวงอาทิตย์สีแดงก่ำที่ลาลับลงหลังเหลี่ยมเขาสระบาป
พอฟ้ามืดเราก็เตรียมตัวกลับบ้านด้วยเห็นสมควรแก่เวลา
แม่ผมคงเตรียมอาหารเย็น (ร้อนๆ) ไว้ให้ทานเรียบร้อยแล้ว
ถ้าผมเดาไม่ผิด และแม่ไม่พลาด— หนึ่งในรายการอาหารค่ำนี้ต้องมีกะพงทอดน้ำปลาที่ผมชอบเป็นแน่แท้
เราขี่มอเตอร์ไซส์กลับบ้านด้วยใจที่เบิกบานพร้อมด้วยตะกร้าหวายใส่ผ้าของผม, เสื้อมือสองของบาบาร่าห์ และถุงขนมไข่ 3 ถุงที่เราเลือกซื้อหามาจากถนนคนเดิน

แล้วผมก็พลาด!

หากจะนับว่าเป็นความผิด ก็คงเป็นเรื่องที่ผมชี้ชวนให้เธอผินหน้าไปดูจันทร์กระจ่างสวยดวงกลมโตที่อวดโฉมฉายแสงอยู่บนฟ้า เพียงเท่านั้น
และนั่นทำให้ผมซึ้งทราบ
ความสวยงามมักอำพรางการนำมาซึ่งความเจ็บปวดเสมอ

ทุกๆ อย่างเกิดขึ้นเร็วมาก
รถคันนั้นพุ่งเข้ามา
รถเจ้ากรรมคันนั้นพุ่งสวนเลนเข้ามาหา
เราประสานงากันอย่างจัง
ผมและบาบาร่าห์กระเด็นหลุดจากรถ และต่างค่อยๆ ทิ้งตัวลงกระแทกกับพื้นถนน
ตะกร้าหวายและถุงข้าวของกระจัดกระจาย
ผมได้แผลถลอก และเจ็บปวดตามตัว
เสื้อเลอะเปรอะไปด้วยฝุ่น และรอยเลือดที่ไหลซึมออกมาจากบาดแผล
พยายามรวบรวมสติแล้วลุกขึ้น
ท้องไส้ปั่นป่วนอย่างรุนแรง ส่งผลให้สำรอกความสุขเมื่อช่วงเย็นออกมาจนสิ้น
หันไปมองบาบาร่าห์ด้วยความเป็นห่วง เธอนอนนิ่งอยู่ไม่ไกลนัก
ถือว่าโชคยังเข้าข้างเราอยู่บ้างที่ไม่มีรถใหญ่วิ่งตามหลังมาในตอนนั้น
หัวเธอคงฟาดกับพื้นถนน จึงทำให้เธอสลบไป
ผมรุดเข้าไปประคองร่างเธอไว้ ร้องเรียกและเขย่าปลุกเธอให้ตื่น

บริเวณนี้ไม่มีแสงไฟทางริมถนนให้ความสว่าง
จึงทำให้เราไม่สามารถมองเห็นอะไรต่ออะไรได้ถนัดถนี่นัก
มีเพียงความสว่างบางๆ จากแสงจันทร์ที่คืนนี้เธอนวลผ่องเต็มที่อยู่เบื้องบนเท่านั้นเอง ที่พอจะทำให้ผมมองเห็นเรื่องราวคร่าวๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้น เงาสลัวไหวของลมแล้งริมทาง รวมถึงใบหน้าที่นิ่งงันของเธอในอ้อมแขน

แม้ไม่ชัดเจน แต่ผมก็ดูออกว่าเป็นใบหน้าที่สงบเกินไป มันดูอิ่มเอมและมีความสุขเกินไป ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังใช้มืออันอ่อนโยนลูบกระหม่อมและร้องเพลงไพเราะกล่อมให้ฟังจนเธอนั้นหลับไหลดิ่งลึก.. เกินไป
ผมเงยหน้ามองย้อนแสงขึ้นไป แล้วนึกถึงบทเพลงสมัยยังเยาว์

จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกง ขอแหวนทองแดง ผูกมือน้องข้า...

จันทร์เอ๋ย.. คืนนี้ผมไม่หิวเลยสักนิด
ไม่อยากขอข้าวขอแกง หรือแหวนทองแดงใดๆ
หากมีสิ่งที่พอจะขอได้จริง

ผมอยากขอโทษ

3/08/2010

Back 2 The Beach






ไปขายของกับพรรคพวกในงาน "บางแสนย้อนยุค ปี 2" มา
ได้กำไรนิดหน่อย พอได้อร่อยกันเต็มคราบกับร้านโปรดที่ศรีราชา
ร้านชื่อ "อ๊อดๆ" โอ้ว.. อร่อยสุดยอดกันไปเลย
ใครยังไม่เคยลิ้มลองของเค้า เราถือว่าเชย

.........

ป.ล. พยายามจะแต่งเป็นกลอน แต่ได้แค่นี้ HA-HA-
และก็ถ่ายรูปมาน้อยอีกเช่นเคย.. เอย...

3/03/2010

ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม

จากห้องเช่า

ผมต้องเดินเท้าเป็นระยะทางราว 400 เมตร เพื่อมาขึ้นเรือข้ามฟากเพื่อลอยละล่องจากฝั่งธนฯ ข้ามมายังฝั่งพระนครโดยใช้เวลาเนิบนาบบนน่านน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาประมาณ 10 นาที ก่อนที่ดีดตัวออกจากเรือข้ามฟาก และจรจากการจราจรทางน้ำไปขึ้นรถไฟฟ้ามหานครโดยเริ่มที่สถานีสะพานตากสิน ทาบบัตรรายเดือนที่ผมเหมาจ่ายไว้แล้วกับเครื่องสแกนตรงประตูเข้า รอรถไฟฟ้าอยู่หลังเส้นเหลืองในขณะที่คุณยามหน้าเหลี่ยมยืนเล็งอยู่ไกลๆ เตรียมจะเป่านกหวีด (สิ่งที่ผมเกลียดเป็นอันดับ 3 รองจากตุ๊กแก และคนโกหก) ไล่แหล่มิไล่แหล่ เคยมีข่าวว่ามีคนพลัดตกลงไปเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน แต่ไม่เป็นไร เดชะบุญ ผมทิ้งเข่าทั้งคู่ลงกับพื้นโดยระวังไม่ให้กินเส้นเหลืองไว้ ประนมมือท่วมหัวอนุโมทนาด้วย เคราะห์ดีที่คุณพี่คนนั้นแกไม่เป็นอะไร ในทางกลับกัน หากแกเป็นอะไรขึ้นมาคงสยดสยองน่าดู เศษซากชิ้นเนื้อของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนนั้นไม่น่าพิสมัยนักหรอก คุณก็รู้ ทีนี้ทางรถไฟฟ้าอาจต้องนิมนต์คณะสงฆ์มาทำบุญล้างซวยรางกันยกใหญ่ และไม่แน่ คุณเคน-ธีรเดช อาจต้องบวชเพื่อช่วยกลบลบภาพสะอิดสะเอียนบนรางวันนั้นก็เป็นได้ ในฐานะดารานำชายยอดเยี่ยมขวัญใจสื่อมวลชนปีล่าสุด และได้มาจากบทบาทที่เกี่ยวพันกันกับเจ้ารถไฟฟ้าที่ว่า

จากสถานีสะพานตากสิน มาสุรศักดิ์ - ช่องนนทรี - ศาลาแดง จากที่เห็นและเป็นไป สถานีนี้คนออกเยอะ คงเพราะมี Office Building มากมายตั้งแต่ต้นไปจนสุดเส้นของถนนสีลม ต่อไปเป็น ราชดำริ จนมาถึงสยาม สถานีเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าเส้นสีลมกับเส้นสุขุมวิท ผมต้องเปลี่ยนขบวนที่สถานีนี้ และก็เป็นจังหวะเดียวกันที่ (เกือบจะ) ทุกๆ คนหยุดยืนนิ่งอึดใจเพื่อทำความเคารพบทเพลงแห่งสยามประเทศที่ลอยล่องมาตามเสียงตามสายบนสถานีนี้ โดยปล่อยให้รถไฟฟ้าขบวนที่อยู่ตรงหน้าส่งเสียง ปี๊บๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ปิดประตูแล้วเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ

ตัดมาที่อ่อนนุช—ซึ่งเป็นสถานีสุดท้ายปลายทางของเส้นสุขุมวิทขาออก
ผมใช้เวลาอยู่บนรถไฟฟ้าประมาณ 50 นาทีเศษๆ ในช่วงเช้ารถไฟจะวิ่งช้าเพราะคนเยอะ และมันจะมีบรรยากาศน่ากลัวนิดหน่อย คือเงียบและแน่น โดยเฉพาะกับเส้นสีลมที่ผมเพิ่งหลุดมาได้
ผมทาบบัตรออก แล้วเดินลงบันได แวะยืนดูนิตยสารที่ร้านหนังสือบนสถานีครู่หนึ่ง ดูโดยรวมๆ เห็นแต่ ร่องดารา เนินดารา นมดารา และโฆษณาสินค้าบนปก เดินลงบันไดมายังถนนด้านล่างเพื่อนั่งรถเมล์ต่ออีกเล็กน้อยไปยังที่ทำงาน โดยจากจุดนี้จะใช้เวลาประมาณ 20 นาทีไม่เกิน ช่วงเช้ากับขาออกแบบนี้โดยปกติรถไม่ค่อยติด ส่วนใหญ่พอขึ้นมาบนรถเมล์ผมมักจะได้ที่นั่ง คนบนรถไม่ค่อยแน่นนัก ควักสตางค์ให้พนักงานเก็บเงินในราคา 8 บาท ที่จริงมีอยู่สายหนึ่งที่เก็บแค่ 7 บาท แต่มันขับเหวี่ยงมาก ซึ่งผมไม่มีอารมณ์สนุกสนานไปกับเรื่องซิ่งๆ ในช่วงเช้านัก เลยมักจะรอคัน 8 บาท

การเดินทางของผมมาเกือบสิ้นสุดที่หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็ลทรัลบางนา เพราะยังต้องเดินเท้าข้ามสะพานลอยต่อไปยังที่ทำงานอีกประมาณ 200 เมตร (ไอ้เจ้าสะพานลอยนี่ก็ไม่รู้จะชันไปไหน) เพื่อสแกนปลายนิ้วชี้ด้านซ้ายลงเวลาการมาถึง

9:23

ผมสาย—เหมือนเช่นวันก่อนๆ ก่อนหน้านี้
แล้วตอนบ่ายฝ่ายบุคคลก็เรียกผมไปเพื่อแจกพร้าเล่มงามเล่มนั้นให้
ซึ่งน่าจะเป็นเล่มเดิมเล่มเดียวกันกับที่ตัดเงินเดือนของผมแหว่งวิ่นไปบ้างบางส่วนเมื่อเดือนก่อน

บนใบมีดด้านหนึ่งสลักเป็นอักษรยึกยือแต่ชัดพอที่จะอ่านจับใจความได้ว่า
ผมถูกพิจารณาให้ออก!

จากบริษัท