7/12/2012

มินิฮิ

5...........
4........
3.....
2..

[ 1 ]
จบเห่! ผมทุลักทุเลตั้งแต่กม.ที่สาม!
ไม่ไหว.. ร้อยหวายตรงส้นเท้าข้างขวานั้นรวดร้าวเหลือแสน
และนั่นก็หมายความว่า.. หากยังดื้ออยากจะวิ่งต่อให้จบแล้วล่ะก็..
พ้นจากนี้ไปทุกย่างวิ่งคือความเจ็บปวด..


[ 2 ]
จะมีใครเล่า— นอกจากผมเองที่เป็นตัวตั้งตัวตี (และ/หรือตัวดี) ส่งเทียบเชิญไปชักชวนน้องเปิ้ล, รัตนิรันด์ และคุณประกายมาเข้าร่วมวิ่งมินิมาราธอนที่จันท์นี่ แล้วก็ดันได้รับความสนใจส่งสาส์นตอบรับในกิจกรรมนี้อย่างฉับพลันเหนือความคาดหมาย ไอ้เรา— ด้วยที่อยู่กับบ้านอยู่แล้ว อีกทั้งมีเวลาฝึกซ้อมอย่างเต็มเวลา จึงแอบปรามาสสามสาวออฟฟิศในใจอย่างอดไม่ได้ว่า “จะไหวเร้ออ กับการวิ่งมาราธอนครั้งแรกเนี่ยย”


[ 3 ]
เช้านี้ไร้เงาของพระอาทิตย์ (ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับชื่อจังหวัด) ท้องฟ้าเป็นสีสุขุม อากาศฉ่ำชื่น เพราะเมื่อคืนฝนตกยาวตลอดทั้งคืน เพิ่งจะมาหยุดเอาก็ช่วงออกวิ่งนี่เอง แต่ใช่ว่าจะหยุดสนิทนัก ฝนเม็ดเล็กๆ ยังโปรยปรายพรมเบาๆ ในตลอดเส้นทาง ผมนึกเห็นใจพวกเธออยู่บ้างในฐานะคนริเริ่มชักชวน คงลำบากกันน่าดู ไหนจะเป็นการวิ่งมาราธอนครั้งแรก แล้วยังจะต้องมาวิ่งตากฝนอีก เอาน่า.. ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี

เท่าที่ประเมินด้วยตาเปล่า ผู้เข้าร่วมแข่งขันครั้งนี้นั้นถือว่ามีจำนวนกำลังพอดีไม่มากไม่น้อย คงจะหลายร้อยแต่ไม่น่าถึงพัน เราออกวิ่งพร้อมๆ กันหลังสัญญาณปล่อยตัว นัดแนะกันอย่างดิบดีว่าให้ต่างคนต่างวิ่งตามจังหวะของตัวเอง ตามที่ซ้อมกันมา แล้วไปเจอกันอีกทีที่เส้นชัย จะได้ไม่ต้องพะวงกันและกัน ทุกคนพยักหน้ารับทราบและตกลงตามนั้น


[ 4 ]
วิ่งมาได้สองกิโลฯ น้องเปิ้ลก็หายไป!
ผม, รัตนิรันด์ และคุณประกายหยุดชะเง้อคอมองหา กลัวคุณน้องเธอเป็นอะไรไป จึงเห็นว่าเธอวิ่งรั้งท้ายอยู่ลิบๆ คู่กับผู้เข้าแข่งขันประเภทแฟนซีอีกท่านหนึ่ง คุณป้าท่านนั้นแต่งเป็นนักรบหญิงสมัยโบราณได้น่ารักน่าชังไม่เบาเลย  ที่สำคัญเราเห็นว่ามีรถร่วมกตัญญูเปิดไฟวิบวับวิ่งปิดท้ายขบวนอยู่ด้วย จึงอุ่นใจว่าเธอคงไม่เป็นไร ถูกแล้วที่เธอวิ่งเนิบๆ ตามจังหวะของเธออย่างนั้น วิ่งแบบนั้นไปเรื่อยๆ มันไม่เมื่อยและไม่เหนื่อย แถมยังป้องกันอาการเจ็บเข่าได้ระดับหนึ่งอีกด้วย

GOOD JOB!


[ 5 ]
ผมจบเห่! อย่างที่จั่วหัวไว้นั่นแหละ 
ปรากฏว่าแค่กม. ที่สาม ผมก็หามตัวเองออก เจ็บที่ตรงเส้นเอ็นร้อยหวาย จำต้องหยุดนั่งพักและพันผ้าใหม่ ย้ายจากที่พันปกป้องเข่าซ้ายมาไว้ที่ข้อเท้าขวา เผื่อว่าจะช่วยบรรเทาให้อาการบาดเจ็บนั้นทุเลา โบกมือให้รัตนิรันด์และคุณประกายล่วงหน้าไปก่อนได้เลยด้วยความริษยา สองคนนี่ซ้อมมาน้อยแต่ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ที่ว่า ‘ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ’ นั้นไม่ผิดเลย อดสูตัวเองจริงๆ ที่ต้องมาแก้ไขอาการบาดเจ็บที่ช่วยไม่ได้ สารภาพว่าใจจริงลึกๆ แล้วครั้งนี้อยากทำเวลาให้ดีกว่าครั้งก่อนๆ แต่คงช่วยไม่ได้จริงๆ คุณน่าจะรู้— ผมตั้งใจกับการวิ่งครั้งนี้มาก ฝึกซ้อมอย่างมีวินัย และอย่างสม่ำเสมอตลอดเดือน จนร้อยหวายที่เคยเจ็บมาออกอาการ

โธ่...แค่จะวิ่งโชว์เป็นตัวอย่างในฐานะเจ้าบ้านผู้เจนสนามยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
อยากจะร้องไห้จริงๆ ..…แต่โอ๊ะ! นั่นน้องเปิ้ล!

“ไหวมั๊ยพี่?”
คุณน้องเปิ้ลไม่ได้วิ่งแซงไปมือเปล่า เธอยังอุตส่าห์ขว้างมีดสั้นมาปักเข้าให้กลางหัวใจของผมอีกด้วย นอกจากความเจ็บกายตรงร้อยหวายแล้วยังต้องมาเจ็บใจ อายเข้าไปถึงภายภาคหน้าอีก
“ไหวสิ ไปก่อนเลย” ผมแค่นคำตอบให้ไป
เร่งมือจัดการตัวเองให้พร้อมรับกับทัณฑ์ทรมานที่รออยู่ข้างหน้า




[ 6 ]
ผมกลับมาวิ่งได้อีกครั้งด้วยความบอบช้ำร้าวรานทั้งกายใจ แต่ก็กระย่องกระแย่งเต็มที สักพักก็วิ่งมาเทียบ และขออนุญาตแซงน้องเปิ้ลกับคู่วิ่งนักรบโบราณของเธอไปในกม. ที่สี่เศษๆ ถึงตรงนี้มองไปอีกฝั่งของถนนเริ่มเห็นผู้เข้าแข่งวิ่งสวนทางกลับมาบ้างแล้ว ทั้งประเภทฮาล์ฟและมินิ นั่นบ่งบอกให้รู้ว่าเราใช้เวลากับครึ่งทางนานเกินไปเสียแล้วสิ

แต่ไม่เป็นไร กายอาจไม่ไหว แต่ใจยังสู้

ในความเจ็บปวดเบื้องล่าง ผมเงยหน้ามองไปรอบๆ เส้นทางวิ่งเพื่อผ่อนคลาย สองข้างทางมีแนวสีเขียวของสนสวย แลเห็นหย่อมสวนยางบ้างประปราย เราวิ่งผ่านบ้านเรือนและอาคารสนง.ต่างๆ ข้างทาง วิ่งข้ามสะพานข้ามคลอง มีเสียงนกร้องขับขานอยู่เบื้องบน โดยส่วนตัวผมเองไม่ชอบวิ่งในกทม. นักเพราะไม่ค่อยสบายสายตาเวลาทอด การวิ่งในตจว. คือของโปรดของผม ฝนยังคงพร่ำพรำเกือบตลอดเส้นทางที่วิ่งกัน ในทุกๆ กิโลฯ ที่เราวิ่งได้จะมีป้ายบอกว่าวิ่งมากันได้ระยะเท่าไหร่แล้ว แต่เพราะเป็นเมืองจันท์ ทางผู้จัดจึงแอบนึกสนุกใส่คำว่า ‘ฮิ’ เล็กๆ ลงเป็นคำสร้อยท้ายตัวเลขในป้ายด้วย ก็จะเห็นเป็น 1 ฮิ, 2 ฮิ, 3 ฮิ แบบนี้ ซึ่งผมว่าน่ารักดี และนึกสนุกตาม


[ 7 ฮิ ]
เจ็บชิบฯ
ในสภาพลิ้นห้อย ผมกัดฟันวิ่งต่อไป (คุณพอนึกภาพออกมั้ย?)


[ 8 ฮิ ]
เราผ่านจุดกลับตัวกันมาครบหมดแล้ว ไล่จากรัตนิรันด์, คุณประกาย................(และอีกหลายต่อหลายคนก่อนจะถึง)..... ผม......และน้องเปิ้ล เราสังเกตเอาจากไฟกระพริบที่เห็นอยู่ลิบๆ ของรถร่วมฯ ผมไล่มาจนทันกลุ่มพวกเธอจนได้ ซึ่ง ณ จุดนี้มีน้องนักศึกษาชายนายหนึ่งมาร่วมวิ่งเป็นเพื่อนด้วย คงเป็นมิตรภาพใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทางของรัตนิรันด์เขา ผมเดาเอา เพราะเธอเข้ากับคนได้เก่งร้ายกาจ อ้อ...และที่ไล่มาจนทันก็เพราะพวกเธอนั้นผ่อนพักและรอคอยผมอยู่ที่จุดแจกน้ำ แน่นอนว่าพวกเธอไม่ได้รีบเร่งอะไร และไม่ค่อยจะเหนื่อยกันนัก แตกต่างจากผมที่ดูง่อยเปลี้ยมาก คุณประกายยื่นน้ำส่งให้ผม... 

แต่เดี๋ยวก่อน! ถึงตรงนี้มันเหมือนมีอะไรผิดที่ผิดทางสักอย่างนะ
เพราะที่จริงมันควรจะเป็นผมต่างหากที่เป็นฝ่ายส่งน้ำให้พวกเธอ.. เฮ้อ...
แล้วเราก็ไม่ได้ตกลงกันไว้แบบนี้แต่แรกสักอย่างเลยนี่นา

“ช่างเถอะ นี่ไม่ใช่เวลาจะมาถือ

ผมแกล้งหลอกบอกตัวเองแรงๆ อย่างข้างๆ คูๆ จากนั้นเราก็วิ่งเกาะกลุ่มกันไปกับระยะที่เหลือ ที่จริงก็เดินบ้าง วิ่งบ้าง แต่ไม่เคยเว้นว่างในเสียงหัวเราะ

[ 8.7 ฮิ ]
เจ็บชิบฯ
ในสภาพลิ้นห้อย ผมกัดฟันวิ่งต่อไป (คุณนึกภาพออกรึยัง?)

อีกฮิเดียว...


[ 9 ]
หลังผ่านโค้งสุดท้าย เราก็มาอยู่ในทางตรงระยะราวสี่ร้อยเมตรก่อนถึงเส้นชัย เป็นระยะสุดท้ายที่เราจะได้ใช้สมาธิพิจารณากับเส้นทางข้างหน้า และทบทวนกับหนทางที่ผ่านๆ มา จากเริ่มที่โหดร้าย เส้นทางของผมค่อยๆ กลับมาสวยงามเป็นปกติสุขอีกครั้ง และผมก็พบว่ามีบางอย่างไม่เหมือนเดิม ครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนๆ ตรงที่ผมไม่ได้วิ่งแต่เพียงผู้เดียว

เรียนทุกท่านที่เคารพ
ครั้งนี้ผมมีรัตนิรันด์และผู้ชายของเธอ (มิตรภาพใหม่ของเธอนั่นแหละ) เป็นคู่ที่วิ่งอยู่ข้างหน้า และคอยเหลียวมองกลับมาตลอดเวลาด้วยความห่วงใย
ให้ตายเถอะโรบินฮู้ด  ....เธอฟิตจริงๆ!

ที่สำคัญยังมีคุณประกายที่คอยวิ่งเคียงข้างๆ คอยเป็นกำลังใจ ช่วยแบ่งรับเอาความเจ็บปวดที่มีให้เบาบางจางลงได้อย่างวิเศษ จากหวายเป็นร้อยก็เหลือไม่ถึงสิบ เธอบรรจงดึงมีดสั้นเล่มนั้นออกให้ด้วยรอยยิ้มพิมใจ ในเวลาเดียวกันกับที่บรรยากาศเช้านี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีสนุกสว่างไสวหลังการลับลาไปของเมฆฝน


ผลคือ จันท์แจ่มฟ้าแจ้งแจงแวง

การมีกันและกันในปัจจุบันนั้นสำคัญและมีความหมายมากกว่ามาก
สิ่งมหัศจรรย์สามารถเกิดขึ้นได้จริงถ้าเราเชื่อใจในกันและกัน
แล้วไม่ใช่หรือที่เราควรวิ่งเข้าเส้นชัยไปพร้อมๆ กัน (ณิการ์)


ท่านที่เคารพ... และ

เรายังมีน้องเปิ้ลกับคุณป้านักรบอยู่ข้างหลังอีกไม่ห่างไม่ไกล
โน่นไง...ไฟวิบวับส่องแสงพ้นโค้งมาแล้ว


[ 10.5 กม.]
ไม่เลย.. ผมไม่เคยรู้มาก่อน

ว่ามีความอบอุ่นขนาดย่อมๆ ห้อมล้อมอยู่จริงที่ระยะนี้

7/06/2012

ผู้มาใหม่


คร่า่วๆ เกี่ยวกับน้องผู้มาใหม่เท่าที่รู้

- น้องเขาชื่อ 'นัท' แต่น้องเขาบอกเองว่าอยากให้เราเรียกเขาว่า 'นัทซึ'
- น้องเขาเรียนมาทางด้านการโรงแรม โปรแกรมอินเตอร์ฯ
- น้องเขาสนใจและชื่นชอบในการถ่ายภาพเป็นพิเศษ
- น้องเขาอายุ 22, เิ่พิ่งจบสดๆ ร้อนๆ
- น้องเขาเล่าว่าเคยฝึกงานที่โรงแรมบันยันทรี ในส่วนของร้านอาหาร
  (แต่นั่นมันก็ไม่น่าสนใจเท่ากับที่)
- น้องเขาบอกว่าเขามีงานอดิเรกคือ 'ตามไอดอล'
- .....????...
- น้องเขาเห็นเรางงงง จึงอธิบายเพิ่มเติมว่า..
- น้องเขาเป็นแฟนคลับของ AKB48 ( วงนี้ --> http://www.akb48.co.jp/ )
- น้องเขาตามวงนี้มากว่า 2 ปีแล้ว
- ชอบมว้ากก!
- น้องเขาบอกว่าถ้าสมมติว่าไฟไหม้บ้านนะ หนึ่งในของที่จะหยิบติดมือแล้ววิ่ง
  หนีออกมาก็คืออัลบั้มรูปภาพอันเป็นที่รักและหวงแหนยิ่งของสาวๆ วงที่ว่า
- คือแบบว่าชอบมว้ากก!!!
- น้องเขามีความใฝ่ฝันอยากไปดูคอนเสิร์ตของวงนี้ที่ญี่ปุ่นสักครั้ง
- (ที่จริงตอนเล่า น้องเขาใช้คำว่า 'คอน' เฉยๆ แต่เราเดาเอาเองว่าน่าจะเป็นคำว่า
  'คอนเสิร์ต' ได้ไม่ยาก ศัพท์วัยรุ่นก็ประมาณนี้แหละ)
- น้องเขาดูมีความสุขนะ เวลาเล่าถึงวงที่รัก ถึงคนที่ปลื้ม
- น้องเขาดูโชติช่วงชัชวาลมาก ..จริงๆ นะ! 
- น้องเขาชอบใส่เสื้อแขนยาวคอเต่าสีดำกับกางเกงยีนส์บ่อยๆ แต่เราไม่ได้
  ถามอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแต่งตัวนัก ของแบบนี้มันแล้วแต่สไตลรุ
- น้องเขาน่าจะดีใจในการงานที่ได้รับนะ เพราะเป็นงานแรกกับวัยทำงาน
  นี่ก็เพิ่งจะลงทุนทุ่มไปกับอุปกรณ์เหยียบแสนในงานนี้
- น้องเขาใช้แคนนอนเหมือนเรา แต่ของเราเป็นรุ่นแก่กว่า
- (ย้ำอีกทีนะ ว่า) น้องเขาชื่อ 'นัทซึ' เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ AKB48 และ--
- น้องเขาชอบบอกว่าเขา 'อะเคร' เวลาที่มีใครหยิบยื่นความเป็นห่วงเป็นใยให้

ซึ่งผมคิดว่าน่าจะหมายถึงคำว่า 'โอเค'
ที่แปลเป็นไทยได้ว่าตกลง