7/28/2007

Mrigadayavan Palace










Mrigadayavan Palace is located on Bang Kra Beach in Cha-am County. It was constructed in 1923 under King Rama VI's command to be his summer palace. The palace was built from materials from the dismantled buildings of the old residence at the nearby Chao Samran Beach. The atmosphere is cool with a verdant wood and there is an ample supply of fresh water. Transportation is convenient as a train station is not far away.Mrigadayavan was known as the palace of love and hope because when Queen Indrasakdi Sachi was pregnant, King Vajiravudh was extremely hopeful in anticipation of an heir. The king took great care of her throughout her pregnancy. Regrettably, the queen miscarried. King Vajiravudh finally got a daughter, Princess Bejaratana, born to Phra Nang Chao Suvadhana just one day before he passed away.

7/24/2007

STILL DIFFERENT

"นี่พงัน" หมุยแนะนำน้องสาวเธอให้รู้จัก
(เธอบอกเองให้เรียกหมุยเฉยๆ เพราะเราสนิทกันแล้ว)
"สวัสดี" ผมเอ่ยทักทายกับพงัน
"รู้จักกันไว้นะ เธอน่ารักและก็นิสัยดี แต่บางวันก็เปรี้ยวเข็ดฟันเลยแหละ"
หมุยอธิบายถึงน้องสาวเธอคร่าวๆ แถมแอบกระซิบให้ฟังว่าพวกฝรั่งนี่หลงเธอหัวปักหัวปรำมาหลายต่อหลายรายแล้ว จากที่ผมสังเกตเธอคร่าวๆ เธอดูสดใสร่าเริง
และในบางมุมเธอก็แอบแฝงความเซ็กซี่อยู่ไม่น้อย
"ดี" พงันทักผมสั้นๆ แบบเป็นกันเอง
"ชื่อเหมือนผู้ชายเลยนะ" ผมแซวเธอ
เธอยิ้มที่มุมปาก แต่ไม่ได้ตอบอะไร
"ไปเที่ยวกันเหอะ" เธอเอ่ยชวนผมอย่างไม่ต้องอ้อมค้อม
หมุยยิ้มให้ผมเมื่อผมหันไปมองทางเธอ เธอทำท่าบอกให้ผมทำตัวตามสบาย ก่อนนี้หมุยเคยบอกว่าน้องเธอคุยสนุกและมีเสน่ห์ หากใครได้รู้จักกับรับรองติดงอมแงมเหมือนพวกฝรั่งแน่นอน เธอรับประกัน

ผมเริ่มจะเห็นคล้อยตามที่หมุยบอก
เพราะตอนนี้จะแกะก็แกะไม่ออกแล้วแหละ!


















7/22/2007

SAME SAME BUT DIFFERENT

หลังจากกำจัดข้อจำกัดเรื่องเวลาไปได้อย่างแยบคาย โดยการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ว่าจะไปเห็น สัมผัสและซึมซับให้ซาบซ่านกับ "สมุย" ด้วยตาตัวเองหลังจากที่ได้ยินเรื่องราวต่างๆ นานาของเธอมานาน และถือโอกาสเยี่ยมเยียน (และอาจต้องเบียดเบียน) สหายเก่าผู้อยู่ก่อนเพื่อพักพิง เพราะผมคงต้องพูดคุยและทำความรู้จักกับเธอสัก 3-4 วันเป็นแน่ (ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ)

แปดโมงเช้าของวันเสาร์ที่มีสายลมเบาๆ เคล้ากับแสงแดดจัดจ้าบนทะเลอ่าวไทยกลางเดือนกรกฎาคม ผมก็พาตัวเองมาหาเธอจนได้ สายตาผมลุกวาวเป็นประกายระยิบระยับเมื่อได้เห็นเธอลางๆ ตั้งแต่อยู่บนเรือเฟอรี่ก่อนเทียบท่า

เธอสวยกว่าที่คิดไว้มาก

"ไป่ไน้!!" เธอทักผมอย่างฉะฉานเป็นสำเนียงชายฉกรรจ์ผิวคล้ำในคราบของคนขับรถสองแถวสวมแว่นตากันแดดแนบด้วยรอยยิ้มขาวจั๊ว
"......" ผมเงียบไปชั่วขณะหลังจากเสียงทักทาย
ผมไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มทักเธอกลับไป

แล้วเรื่องราวระหว่างผมกับเธอก็เริ่มขึ้น




















7/13/2007

จดหมายถึงคุณหลวง

สวัสดีค่ะคุณหลวงที่รัก

เป็นเวลาเกือบปีแล้วที่คุณหลวงได้จากอีชั้นไปอยู่เมืองฝรั่ง ทิ้งอีชั้นให้อยู่เผชิญโชคชะตาอยู่ในบางกอกอย่างเดียวดายโดยที่ไม่มีคุณหลวงอยู่ข้างกาย ที่อีชั้นเขียนจดหมายมาหาคุณหลวงในครั้งนี้ อีชั้นแค่อยากรู้ว่าทางโน้นเป็นอย่างไรบ้างก็แค่นั้นเองเจ้าค่ะ
ช่วงแรกอีชั้นดีใจมากมายที่ได้รับจดหมายจากคุณหลวงที่แจ้งให้รู้ว่าคุณหลวงอยู่ทางโน้นสบายดี แม้จะลำบากหน่อยในเรื่องภาษาแต่อีชั้นเชื่อว่าคุณหลวงมีฟามสามารถค่ะ คงฟ่าฟันอุปสรรคนี้ไปได้อย่างไม่ยากเย็น จริงไหมคะ?

อีชั้นเฝ้ารอคอยการกลับมาของคุณหลวงอยู่ในทุกลมหายใจเข้าออกของอีชั้น ไม่ว่าจะเวลากิน เวลาขี้ เวลาดูทีวี หรือเวลานอน อีชั้นก็เห็นแต่ภาพคุณหลวงลอยไปลอยมาอยู่ตลอดเวลา อีชั้นคิดถึงคุณหลวงเหลือเกินเจ้าค่ะ

อีชั้นไม่เคยหลงลืมคืนวันที่คุณหลวงโอบกอด และบอกรักกับอีชั้นเลยที่ท่าเรือบินเก่า วันนั้นคุณหลวงหล่อมากค่ะ คุณหลวงใส่เสื้อยืดตัวเล็กสีดำ สีโปรดของคุณหลวง ใส่กางเกงทรงเข้ารูปที่อีชั้นเคยแซวคุณหลวงว่าเวลาปวดขี้คงลำบากแย่เลย แต่คุณหลวงก็แย้งกลับด้วยรอยยิ้มแสนสยิวของคุณหลวงจนอีชั้นเกือบละลายกองอยู่ตรงนั้น อีชั้นอยากให้วันคืนเหล่านั้นมันกลับมาอีกครั้งจัง
แต่อีชั้นเข้าใจถึงการจากไปเพื่อศึกษาหาฟามรู้ของคุณหลวงค่ะ อีชั้นจะรอคอยวันแห่งฟามสำเร็จของคุณหลวงอย่างใจจดใจจ่อนะเจ้าคะ เมื่อวันเวลานั้นมาถึงเราคงได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง

ด้วยฟามที่อีชั้นเขียนจดหมายไม่ค่อยเก่ง และนี่ก็เป็นจดหมายฉบับแรกที่เขียนถึงคุณหลวง อีชั้นอาจเขียนไม่ค่อยดีนะคะ อีชั้นฟามรู้น้อยน่ะเจ้าค่ะ หวังว่าคุณหลวงคงไม่ถือสานะคะ

สุดท้ายนี้อีชั้นอยากฝากบอกคุณหลวงอีกครั้งด้วยบทเพลงของพี่ปู พงษ์สิทธิ์
คำสร้อย ศิลปินคนโปรดของอีชั้นค่ะ

ก็โลกนั้นมีหนทางถอยไว้ให้หนึ่งสาย เพียงเพื่อนจะเดินฝ่าไป
หรือถอยคิดดูเสียก่อน

อดทนกล้ำกลืน เพื่อรอคอยวันหนึ่งคงพบชัย เพื่อนจะเดินฝ่าไป
หรือรอคอยเวลา...



ด้วยรักและอาลัย,

ลำพอง และผองเพื่อน

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

.............

ปล. อีชั้นแนบรูปถ่ายวันนั้นมาให้ด้วยแหละเจ้าค่ะ^^


7/12/2007

Bounce



Wat Pho

Wat Pho is the largest and oldest wat in Bangkok (with an area of 50 rai, 80,000 square metres), and is home to more than one thousand Buddha images, more than any other temple in the country, as well as the largest single Buddha image: the Reclining Buddha (Phra Buddhasaiyas). Made as part of Rama III's restoration, the Reclining Buddha is forty-six metres long and fifteen metres high, decorated with gold plating on his body and mother of pearl on his eyes and the soles of his feet. The latter display 108 auspicious scenes in Chinese and Indian styles.

The Wat Pho complex consists of two walled compounds, bisected by Soi Chetuphon running east-west. The northern walled compound is where the reclining Buddha and massage school are found. The southern walled compound, Tukgawee, is a working Buddhist monastery with monks in residence and a school.

ที่มา: http://en.wikipedia.org/wiki/Wat_Pho

ปล. ไปเดินเที่ยววัดโพธ์กะถ่ายรูปเล่น แต่กลับกลายเป็นไปโต้ปิงปองเล่นกับเด็กซะงั้น!