12/18/2012

เริ่มต้นเที่ยวที่กลับ

“ประมาณห้าพันนิดๆ ไหวป่ะ?”
เธอเคาะถามผมมาผ่านทางเฟสบุ๊ค
ผมวานให้เธอสืบเสาะหาตั๋วราคาประหยัด ‘คุนหมิง – กรุงเทพฯ’ ให้หน่อย เพราะผมเองนั้นไม่มีบัตรเครดิต การจับจองตั๋วเครื่องบินจึงจำเป็นต้องไหว้วานผู้มีหมายเลขบัตรทั้งหลายให้ช่วยเหลืออีกแรง
ไหวอยู่-เอาเลย-จองเลย- ผมตอบเธอไปด้วยใจลิงโลด
“แล้วขาไปจะยังไง?”
เธอถามกลับ
“… อืม จองไปก่อนเลย ขาไปเดี๋ยวค่อยว่ากัน”

////////////

เราเริ่มคุยกันมาสักพักหนึ่งแล้วตั้งแต่ต้นปี
เธอทดทริป ‘แชงกรี-ลา’ ไว้ในใจมากว่าสองปีแล้ว บอกว่ามีเหตุให้แคล้วคลาดอยู่ทุกทีไป ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
ส่วนแชงฯ ของผมก็ล่มแล้วล่มอีกเป็นสงกรานต์ที่สามติดต่อกันด้วยเหตุผลที่ไม่หนีกันเท่าไหร่ หลายเสียงแนะนำว่าแชงกรี-ลานั้นควรไปในช่วงสงกรานต์จะเหมาะที่สุด และหากอยู่ในวัยทำงาน ช่วงนั้นก็น่าจะลาหยุดได้ยาวสุด

หากแต่ปีนี้สถานการณ์เปลี่ยน ผมกับเธอมีชุดวันหยุดยาวราวสองอาทิตย์ตรงกันช่วงปลายปีพอดี เราจึงขุดคุ้ยทริปในใจออกมาพูดคุยกันถึงความน่าจะไป และร่วมกันออกแบบเส้นทางดูว่าเราจะไปกันอย่างไรดี และมีที่ไหนบ้าง

“หนาวไปมั้ย?”
“ไป!!”
“.....”

จริงๆ แล้วที่ผมพิมพ์ถามเธอไป (ทางเฟสฯ) ในวันหนึ่งที่เราคุยถึงทริปนี้กัน
ผมไม่ได้หมายความว่า “ถ้ามันหนาวแล้วยังจะไปไหม?” เสียหน่อย— แต่ช่างเถอะ ในเมื่อเธอยืนยันสั้นๆ ในสิ่งที่ผมอยากได้ยินกลับมาแล้ว ทริป ‘แชงกรี-ลา’ ที่ค้างคาอยู่ในใจของเราทั้งคู่ก็งัวเงียลืมตาตื่นขึ้นมา  จากนั้นเราก็เริ่มที่การจองตั๋วเที่ยวกลับจากคุนหมิงเป็นตัว (ตั๋ว) ประกันไว้ก่อน แล้วเริ่มทำการบ้านหาข้อมูลกันยกใหญ่ในเส้นทางการเดินทางของเราตามเว็บไซต์และไกด์บุ๊กต่างๆ จนพอเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาลางๆ ดังนี้.. (ซึ่งก็ผิกแผกแปลกไปจากทีแรกกันสุดๆ ไปเลย จากที่เคยคิดไว้ว่าจะนั่งรถขึ้นไปทางเชียงของ-สิบสองปันนา เรา)

เริ่มที่บินไปลงฮานอย – นั่งรถไฟต่อไปลาวไก – (เที่ยวซาปา?) – ข้ามแดนไปเมืองจีนที่ด่านเหอโข่ว – จับรถไปดูนาขั้นบันไดพันปีที่หยวนหยาง – แวะเที่ยวเมืองเก่าเจี้ยนสุ่ย – เข้าคุนหมิง – ก่อนจะนั่งรถไฟยาวไปต้าลี่จากคุนหมิง – (เที่ยวคุนหมิง?) – เที่ยวเล่นที่ต้าลี่ – ต่อรถขึ้นไปเยือนเมืองเก่าลี่เจียง – ผ่อนทริปพักตากอากาศที่ลี่เจียงสักสองสามวัน – จากนั้นมุ่งสู่จุดหมายปลายทางของทริปที่จงเตี้ยน หรือ 'แชงกรี-ลา' นั่นเอง — คำนวนแล้วใช้เวลาเบ็ดเสร็จ 14 วัน

ซึ่งแน่นอนว่าโปรแกรมที่ออกมานั้นอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ทุกยามตามความเหมาะสม อาจจะดูอ้อมไป แต่โดยรวมๆ แล้วก็ลงตัวดี
ผมหมายถึงการเริ่มต้นทั้งหมดของทริปนี้โดยรวมๆ ด้วย
อาจไม่ชัดเจนนักกับระหว่างทางและในบางความหมาย
แต่แจ่มแจ้งแล้วซึ่งปลายทาง

12/12/2012

จีนจ้า ยูนนาน


โหล-โหล-โหล  สวัสดีธันวาฯ

ยังคงยึดคำสอนของท่านดาไล ลามะ ที่ว่าให้ออกเดินทางท่องเที่ยวอย่างน้อยปีละครั้งเหมือนเดิม ปีนี้เป็นคิวพี่เบิ้มจีน ไปมา 2 อาทิตย์ สนุกสุดเหวี่ยงมาก!
เริ่มจากกรุงเทพฯ - ฮานอย - หยวนหยาง - เจี้ยนสุ่ย - คุนหมิง - ต้าหลี่ - ลี่เจียง - จงเตี้ยน (แชงกรี-ลา) - คุนหมิง - และก็บินกลับมากรุงเทพฯ
เรื่องราวเยอะมาก ประทับใจในหลายๆ เรื่อง แต่ยังไม่มีอะไรจะเล่าตอนนี้
ไว้จะค่อยๆ ทยอยเอารูปมาลง พอดีเห็นเป็นวันดี เลยอัพเสียหน่อย

ว่างๆ ก็หาเวลาไปกันนะ : )

11/17/2012

หมึกบดถึงเธอ

เธอ,

ตรงหัวมุมหนึ่งของตลาดน้ำพุที่จันท์มีปลาหมึกบดรสเลิศแหละ
ร้าน (ที่เป็นรถ) หาไม่ยาก แค่สังเกตจรวดนำวิถีให้ดี
คิวยาวอยู่ บางวันก็ยาาาาาาาาาาาาาาาาาาวมาก
(ยาวให้สมกันกับรสชาติเลอเลิศที่ว่าไว้สินะ)
เพราะฉะนั้นถ้าเธอจะเอาเธอสั่งก่อนเลย ว่าจะเอากี่ตัว แถวไหน บน-กลาง-ล่าง
แล้วจะไปไหนก็ไป กะเวลาเอาเอง จากนั้นค่อนเวียนแวะมาเอา (เอง)
คนที่นี่เขาเรียนสลน.กันมา ไม่มีดอก ไอ้เรื่องแซงคงแซงคิว (Thank You)

จะบอกให้ว่าเจ้านี้เขาทั้งเก่้าและก็แก่ ก็ตั้ง 43 ปีมาแล้วนี่นา
'ลุงธง' เจ้าของร้านที่เป็นรถอันเก่าแก่แกบอกกับฉันมาอีกที เอาง่ายๆ (Take It Easy) คือแกขายตั้งแต่ฉันยังไม่เป็นวุ้นเลยด้วยซ้ำ ..ไม่แน่ ชาติที่แล้วฉันยังไม่ซี้เลยด้วยซ้ำมั้ง พอฉันเริ่มจำความได้มากขึ้นเข้า ภาพทรงจำของตลาดน้ำพุของฉันนั้นมุมหนึ่งก็ต้องมีร้านแกจอดดักอยู่ แต่จะเฉพาะตอนที่ตะวันตกดินไปแล้วนะ เวลากลางวันแกหายจ้อยเบย

คงไม่ต้องมีเชลล์มาชี้ชวนให้ชิมกระมัง บางอย่างเวลาก็ได้การันตี (Guarantee) ให้เราแล้ว 43 ปีมันมีความหมายมากกว่าจำนวนนับแน่ๆ เชื่อฉัน หากสบโอกาสผ่านมาทางนี้ ฉันก็อยากให้เธอได้โดนจริงๆ จะสั่งแบบบดเพียวๆ หรือจะคลุกเคล้ากับน้ำจิ้มสูตรเด็ดของลุงแกก็ตามอำเภอใจเลย อร่อยทั้งสองแบบ ยิ่งกินแกล้มกับเบียร์น่ะหรือ?— แอร๊าย! อย่าให้เซอิด (Said) เลยธอวว์
และด้วยความเคารพ (-/\-)  หากมีเวลาเธอรีบมาล่ะ อยากให้เธอได้ลองขบเคี้ยวดู ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าจะลุงแกจะยังควงแขนโยกเครื่องไปถึงเมื่อไร และเมื่อถึงวันนั้น (กราม) ฉันจะยังสมคบเคี้ยวเป็นเพื่อนเธอไหวอยู่ไหม

แล้วถ้าเมื่อไหร่เมื่อใดที่เธอได้ลอง (Squid) นะ ที่รัก (Sweet),
ไม่ว่าเธอจะสั่งแบบไหนก็แล้วแต่ ฉันเพียงอยากจะขอเธออย่างหนึ่ง...
ก่อนนอนอย่าลืมแปรงฟัน

9/23/2012

เย็บเล่ม (เสมือนคำตาม)

ทุกท่านที่เคารพ
อย่างที่พอรู้กันเลาๆ ว่าเราได้ทำหนังสือทำมือเล่มสุดท้ายไตรภาคออกมาแล้ว
เล่มล่าสุดนี่ก็ตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่ายังไงเสียก็จะเย็บเล่มแบบญี่ปุ่น
เพราะด้วยชอบจริงอะไรจริง และจะได้เย็บเป็น  อะไรเป็น

ทีนี้ก็มีเรื่องเล่าเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องเย็บเล่มนี้ให้ฟัง
เรื่องมีอยู่ว่า
เช้าวันหนึ่งเรากำลังหาคีมมาคีบเข็มเล่มน้อยๆ ของเรา (ที่ไปหยิบยืมเขามาอีกที) เพื่อใช้ดึงทุ่นแรง เพราะเย็บไปได้ประมาณหนึ่งก็เริ่มเจ็บที่ปลายนิ้ว ค้นหาคีบไปเรื่อยๆ ในกล่องเครื่องมือของพ่อก็ไปเจอเบ็ดตกปลาอันหนึ่งเข้าให้ ซึ่งมันเกือบจะเกี่ยวนิ้วมือเราเข้าให้แล้วถ้าระวังไม่พอ จึงไถ่ถามพ่อไปว่าเบ็ดนี่ของใคร อยู่ตรงนี้มันอันตรายนา พ่อขานว่าของแกเอง แล้วก็เข้ามารับช่วงต่อเอาเบ็ดไป

วันนั้นเราก็ไม่ได้อะไร พอเจอคีมแล้วก็ไปทำงานของเราต่อ
วันต่อมาน่ะสิ ถึงจะได้อะไร..

ตอนสายๆ สิ่งที่พ่อเอามาโชว์เราเป็น ต.ตะพาบตัวโตเชียว (นี่ไงอะไรที่เราว่า)
พ่อบอกว่าเอาเบ็ดที่ได้จากเราเมื่อวานนั่นแหละไปวางดักที่คลองหลังบ้านมา เบ็ดอันนั้นมันหลงมาในจานกับแกล้มเมื่อหลายเดือนก่อนของพ่อเอง แกเป็นคนเก็บเอง แต่แกหาเองไม่เจอ หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จนมาเจอจากเราเมื่อวานนั่นแหละ
แล้วพ่อก็กดโทรศัพท์ไปหาทีมงานมาให้รับช่วงต่ออีกที สักพัก 'เฮียหมง' อันเป็นที่รู้ถ้วนทั่วกันว่าเป็นผู้รับเหมาสัตว์ป่าทั้งหลายเพื่ออาสาเอาไปทำกับแกล้มก็ขับรถโฟล์คเต่ารุ่นเก่าๆ ของแกมาจอดหน้าบ้าน ลงจากรถ โดยค่อยๆ แง้มเปิดประตูรถออกมาพร้อมกับที่สกอร์เพลง 'ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ' ข อ ง พี่ หลิว ค่ อ ย ๆ  ค ล อ ขึ้ น .. ... พ้ น จ า ก ป ร ะ ตู ร ถ  เ พ ล ง จึ ง ค่ อ ย ๆ  เ บ า ล ง .. (ซึ่งใช้เวลาพอสมควรทีเดียวนะ ณ จุดนี้) เฮียหมงทักทายเราและแม่ จากนั้นแกก็ค่อยๆ ย่างสามขุมตรงเข้าไปในครัว จัดการทำความสะอาดเจ้าตะพาบตัวนั้นอีกที สนทนาเล็กน้อยกับพ่อพอเป็นพิธี บรรจงหักกิ่งไม้แห้งเพื่อใช้เป็นฟืนก่อไฟในเตา ฮำเพลงเบาๆ ..แล้วบรรเลง

‘ทำไมต้องเป็นรถเต่าด้วยวะ’
ถึงตรงนี้เราขำตรงรถเต่าของเฮียหมงแก นึกขันอยู่คนเดียวในหัว
พอรู้สึกตัวอีกทีว่าตลกอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะเข้าท่าเลย ทำนองว่า 'ตลกตายล่ะ' จึงสำนึก และวอนให้เจ้าตะพาบตัวนั้นอโหสิกรรมให้ด้วยที่ต้องมีอันเป็นไป
ไม่ว่าจะเป็นไปเพราะสิ่งที่เรากำลังทำ
หรือจะเป็นเคราะห์กรรมของเจ้าตะพาบเองก็ตาม

9/19/2012

RLRC


ทุกท่านที่เคารพ
RLRC ย่อมาจาก Run Lily Run Club ครับ
ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกแล้ว 6 คน ซึ่งเราทำเท่ก่อตั้งขึ้นมาเอง
ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ นะ ที่เราทำให้คน 4-5 คนลุกขึ้น
แล้วหันหน้ามาร่วมออกกำลังกายโดยการวิ่งไปด้วยกันได้
(แม้จะไม่ค่อยพร้อมเพรียงกันก็ตามเถอะ)
ล่าสุดก็หอบหิ้วกันไปวิ่งที่เมืองกาญจ์นโน่นแน่ะ
สนามนี้สวยงามมากมายตายกันไปเลย สมดังคำร่ำลือ
การจัดการก็ดี เป็นไปได้ก็อยากมาวิ่งที่นี่ทุกปีนะ

รายการนี้เป็นมาราธอนครั้งที่ 5 แล้วสำหรับเรา
ปกติระยะมินิฯ เขาจะวิ่งกันประมาณ 10 กม.
ที่ผ่านมาถ้านับรวมๆ กันนี่ก็ได้ราว 50 กม.แล้ว
ตั้งใจไว้ว่าชีวิตนี้จะวิ่งให้ได้สัก 100 กม.
ถ้าลงปีละ 4 รายการก็อีก 3 ปี
ถึงตอนนั้นถ้าเข่ายังไม่พัง ก็คงจะมีความสุขพิลึก

ทุกท่านที่เคารพ
ลองนึกดูสิครับ : )

.........

ป.ล. สำหรับมิตรรักแฟน Blog อันนิดน้อย
เราเขียนวิธีสั่งซื้อหนังสือไว้ที่ Note Page ใน FB นะ
http://on.fb.me/NZBuML
กำลังคึกคักเชียว ^^

9/04/2012

ทุกท่านที่เราคบ


Ladies & Gentlemen...

เล่มสรุปจบของไตรภาค 1306ix มาแล้วนะครับผม
อันมีชื่อว่า "ทุกท่านที่เราคบ" พบกับ 10.5 ความเรียงตามอารมณ์หลากหลายวาระในรอบกว่า 2 ปีที่ผ่านๆ มา รับรองว่ารสชาติแน่นอนเหมือนเคย เล่มนี้เห็นสมควรแล้วว่าจะเป็นหนังสือทำมือรวมเล่มลำดับสุดท้ายที่จะทำออกมาแล้ว

อะไรนะ? ตามไม่ทัน... งั้นจะเท้าความให้เล็กน้อย

(ก็)เริ่มจากที่ทำคลอด "ดอยไปดอยมา" ออกมาในปี 2008
จากนั้นตามมาห่างๆ ด้วย "ทำ-เป็น-เล่ม-ไป" ตอนปลายปี 2010
และล่าสุด ปีนี้ 2012 กับ "ทุกท่านที่เราคบ"
ที่จริงมีแอบแทรกอัลบั้มภาพ "僕のインド" l 365 days later 
ออกมาตอนต้นปีด้วยแหละ ถ้ายังจำกันได้

อา...เขียน Blog มากว่า 5 ปีแล้วเหรอเนี่ย...น่ากลัวชะมัด

สำหรับเล่มนี้จะแบ่งการทำออกเป็น 3 งวด งวดละ 13 เล่ม
งวดแรกสำหรับมิตรรักแฟน Blog แห่งนี้ที่ยังหลงเหลืออยู่
งวดสองเร็วๆ นี้สำหรับ Friends ใน FB
และงวดสุดท้าย โน่นเลย งานสัปดาห์หนังสือ

เห...ถามว่าทำไมต้องกระแดะทำพิลึกพิลั่นแบ่งเป็น 3 งวดน่ะเหรอ
แหม...ถามแบบนี้ไม่เคยเย็บหนังสือล่ะสิ มันเจ็บนิ้วนะตัวเอง ^_^"

เอาเป็นว่าสนใจกันก็ติดต่อกันตามช่องทางที่สะดวกเลยนะ
ราคาเล่มละ 185 บาทไทย รวมค่าจัดส่งทั่วสยามประเทศ สำหรับทุกๆ ท่านที่เราคบโดยเฉพาะ : )

ด้วยความเคารพ

1306ix

.........

แต่เดี๋ยวก่อน!
พิเศษสุดๆ ไปเลยสำหรับท่านที่แจ้งว่ามี "僕のインドl 365 days later ในอ้อมอกเรียบร้อยแล้ว รับไปเลยทันทีส่วนลด 13% นั่นหมายความท่านจะสามารถเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้ในราคาเพียง 160 บาทเท่านั้น!

8/01/2012

ดักแด้อากาศ


ไปเดินเล่นหอศิลป์ฯ อยู่ดีๆ ก็หลุดเข้าไปในปี 1Q84 ซะงั้น

7/12/2012

มินิฮิ

5...........
4........
3.....
2..

[ 1 ]
จบเห่! ผมทุลักทุเลตั้งแต่กม.ที่สาม!
ไม่ไหว.. ร้อยหวายตรงส้นเท้าข้างขวานั้นรวดร้าวเหลือแสน
และนั่นก็หมายความว่า.. หากยังดื้ออยากจะวิ่งต่อให้จบแล้วล่ะก็..
พ้นจากนี้ไปทุกย่างวิ่งคือความเจ็บปวด..


[ 2 ]
จะมีใครเล่า— นอกจากผมเองที่เป็นตัวตั้งตัวตี (และ/หรือตัวดี) ส่งเทียบเชิญไปชักชวนน้องเปิ้ล, รัตนิรันด์ และคุณประกายมาเข้าร่วมวิ่งมินิมาราธอนที่จันท์นี่ แล้วก็ดันได้รับความสนใจส่งสาส์นตอบรับในกิจกรรมนี้อย่างฉับพลันเหนือความคาดหมาย ไอ้เรา— ด้วยที่อยู่กับบ้านอยู่แล้ว อีกทั้งมีเวลาฝึกซ้อมอย่างเต็มเวลา จึงแอบปรามาสสามสาวออฟฟิศในใจอย่างอดไม่ได้ว่า “จะไหวเร้ออ กับการวิ่งมาราธอนครั้งแรกเนี่ยย”


[ 3 ]
เช้านี้ไร้เงาของพระอาทิตย์ (ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับชื่อจังหวัด) ท้องฟ้าเป็นสีสุขุม อากาศฉ่ำชื่น เพราะเมื่อคืนฝนตกยาวตลอดทั้งคืน เพิ่งจะมาหยุดเอาก็ช่วงออกวิ่งนี่เอง แต่ใช่ว่าจะหยุดสนิทนัก ฝนเม็ดเล็กๆ ยังโปรยปรายพรมเบาๆ ในตลอดเส้นทาง ผมนึกเห็นใจพวกเธออยู่บ้างในฐานะคนริเริ่มชักชวน คงลำบากกันน่าดู ไหนจะเป็นการวิ่งมาราธอนครั้งแรก แล้วยังจะต้องมาวิ่งตากฝนอีก เอาน่า.. ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี

เท่าที่ประเมินด้วยตาเปล่า ผู้เข้าร่วมแข่งขันครั้งนี้นั้นถือว่ามีจำนวนกำลังพอดีไม่มากไม่น้อย คงจะหลายร้อยแต่ไม่น่าถึงพัน เราออกวิ่งพร้อมๆ กันหลังสัญญาณปล่อยตัว นัดแนะกันอย่างดิบดีว่าให้ต่างคนต่างวิ่งตามจังหวะของตัวเอง ตามที่ซ้อมกันมา แล้วไปเจอกันอีกทีที่เส้นชัย จะได้ไม่ต้องพะวงกันและกัน ทุกคนพยักหน้ารับทราบและตกลงตามนั้น


[ 4 ]
วิ่งมาได้สองกิโลฯ น้องเปิ้ลก็หายไป!
ผม, รัตนิรันด์ และคุณประกายหยุดชะเง้อคอมองหา กลัวคุณน้องเธอเป็นอะไรไป จึงเห็นว่าเธอวิ่งรั้งท้ายอยู่ลิบๆ คู่กับผู้เข้าแข่งขันประเภทแฟนซีอีกท่านหนึ่ง คุณป้าท่านนั้นแต่งเป็นนักรบหญิงสมัยโบราณได้น่ารักน่าชังไม่เบาเลย  ที่สำคัญเราเห็นว่ามีรถร่วมกตัญญูเปิดไฟวิบวับวิ่งปิดท้ายขบวนอยู่ด้วย จึงอุ่นใจว่าเธอคงไม่เป็นไร ถูกแล้วที่เธอวิ่งเนิบๆ ตามจังหวะของเธออย่างนั้น วิ่งแบบนั้นไปเรื่อยๆ มันไม่เมื่อยและไม่เหนื่อย แถมยังป้องกันอาการเจ็บเข่าได้ระดับหนึ่งอีกด้วย

GOOD JOB!


[ 5 ]
ผมจบเห่! อย่างที่จั่วหัวไว้นั่นแหละ 
ปรากฏว่าแค่กม. ที่สาม ผมก็หามตัวเองออก เจ็บที่ตรงเส้นเอ็นร้อยหวาย จำต้องหยุดนั่งพักและพันผ้าใหม่ ย้ายจากที่พันปกป้องเข่าซ้ายมาไว้ที่ข้อเท้าขวา เผื่อว่าจะช่วยบรรเทาให้อาการบาดเจ็บนั้นทุเลา โบกมือให้รัตนิรันด์และคุณประกายล่วงหน้าไปก่อนได้เลยด้วยความริษยา สองคนนี่ซ้อมมาน้อยแต่ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ที่ว่า ‘ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ’ นั้นไม่ผิดเลย อดสูตัวเองจริงๆ ที่ต้องมาแก้ไขอาการบาดเจ็บที่ช่วยไม่ได้ สารภาพว่าใจจริงลึกๆ แล้วครั้งนี้อยากทำเวลาให้ดีกว่าครั้งก่อนๆ แต่คงช่วยไม่ได้จริงๆ คุณน่าจะรู้— ผมตั้งใจกับการวิ่งครั้งนี้มาก ฝึกซ้อมอย่างมีวินัย และอย่างสม่ำเสมอตลอดเดือน จนร้อยหวายที่เคยเจ็บมาออกอาการ

โธ่...แค่จะวิ่งโชว์เป็นตัวอย่างในฐานะเจ้าบ้านผู้เจนสนามยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
อยากจะร้องไห้จริงๆ ..…แต่โอ๊ะ! นั่นน้องเปิ้ล!

“ไหวมั๊ยพี่?”
คุณน้องเปิ้ลไม่ได้วิ่งแซงไปมือเปล่า เธอยังอุตส่าห์ขว้างมีดสั้นมาปักเข้าให้กลางหัวใจของผมอีกด้วย นอกจากความเจ็บกายตรงร้อยหวายแล้วยังต้องมาเจ็บใจ อายเข้าไปถึงภายภาคหน้าอีก
“ไหวสิ ไปก่อนเลย” ผมแค่นคำตอบให้ไป
เร่งมือจัดการตัวเองให้พร้อมรับกับทัณฑ์ทรมานที่รออยู่ข้างหน้า




[ 6 ]
ผมกลับมาวิ่งได้อีกครั้งด้วยความบอบช้ำร้าวรานทั้งกายใจ แต่ก็กระย่องกระแย่งเต็มที สักพักก็วิ่งมาเทียบ และขออนุญาตแซงน้องเปิ้ลกับคู่วิ่งนักรบโบราณของเธอไปในกม. ที่สี่เศษๆ ถึงตรงนี้มองไปอีกฝั่งของถนนเริ่มเห็นผู้เข้าแข่งวิ่งสวนทางกลับมาบ้างแล้ว ทั้งประเภทฮาล์ฟและมินิ นั่นบ่งบอกให้รู้ว่าเราใช้เวลากับครึ่งทางนานเกินไปเสียแล้วสิ

แต่ไม่เป็นไร กายอาจไม่ไหว แต่ใจยังสู้

ในความเจ็บปวดเบื้องล่าง ผมเงยหน้ามองไปรอบๆ เส้นทางวิ่งเพื่อผ่อนคลาย สองข้างทางมีแนวสีเขียวของสนสวย แลเห็นหย่อมสวนยางบ้างประปราย เราวิ่งผ่านบ้านเรือนและอาคารสนง.ต่างๆ ข้างทาง วิ่งข้ามสะพานข้ามคลอง มีเสียงนกร้องขับขานอยู่เบื้องบน โดยส่วนตัวผมเองไม่ชอบวิ่งในกทม. นักเพราะไม่ค่อยสบายสายตาเวลาทอด การวิ่งในตจว. คือของโปรดของผม ฝนยังคงพร่ำพรำเกือบตลอดเส้นทางที่วิ่งกัน ในทุกๆ กิโลฯ ที่เราวิ่งได้จะมีป้ายบอกว่าวิ่งมากันได้ระยะเท่าไหร่แล้ว แต่เพราะเป็นเมืองจันท์ ทางผู้จัดจึงแอบนึกสนุกใส่คำว่า ‘ฮิ’ เล็กๆ ลงเป็นคำสร้อยท้ายตัวเลขในป้ายด้วย ก็จะเห็นเป็น 1 ฮิ, 2 ฮิ, 3 ฮิ แบบนี้ ซึ่งผมว่าน่ารักดี และนึกสนุกตาม


[ 7 ฮิ ]
เจ็บชิบฯ
ในสภาพลิ้นห้อย ผมกัดฟันวิ่งต่อไป (คุณพอนึกภาพออกมั้ย?)


[ 8 ฮิ ]
เราผ่านจุดกลับตัวกันมาครบหมดแล้ว ไล่จากรัตนิรันด์, คุณประกาย................(และอีกหลายต่อหลายคนก่อนจะถึง)..... ผม......และน้องเปิ้ล เราสังเกตเอาจากไฟกระพริบที่เห็นอยู่ลิบๆ ของรถร่วมฯ ผมไล่มาจนทันกลุ่มพวกเธอจนได้ ซึ่ง ณ จุดนี้มีน้องนักศึกษาชายนายหนึ่งมาร่วมวิ่งเป็นเพื่อนด้วย คงเป็นมิตรภาพใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทางของรัตนิรันด์เขา ผมเดาเอา เพราะเธอเข้ากับคนได้เก่งร้ายกาจ อ้อ...และที่ไล่มาจนทันก็เพราะพวกเธอนั้นผ่อนพักและรอคอยผมอยู่ที่จุดแจกน้ำ แน่นอนว่าพวกเธอไม่ได้รีบเร่งอะไร และไม่ค่อยจะเหนื่อยกันนัก แตกต่างจากผมที่ดูง่อยเปลี้ยมาก คุณประกายยื่นน้ำส่งให้ผม... 

แต่เดี๋ยวก่อน! ถึงตรงนี้มันเหมือนมีอะไรผิดที่ผิดทางสักอย่างนะ
เพราะที่จริงมันควรจะเป็นผมต่างหากที่เป็นฝ่ายส่งน้ำให้พวกเธอ.. เฮ้อ...
แล้วเราก็ไม่ได้ตกลงกันไว้แบบนี้แต่แรกสักอย่างเลยนี่นา

“ช่างเถอะ นี่ไม่ใช่เวลาจะมาถือ

ผมแกล้งหลอกบอกตัวเองแรงๆ อย่างข้างๆ คูๆ จากนั้นเราก็วิ่งเกาะกลุ่มกันไปกับระยะที่เหลือ ที่จริงก็เดินบ้าง วิ่งบ้าง แต่ไม่เคยเว้นว่างในเสียงหัวเราะ

[ 8.7 ฮิ ]
เจ็บชิบฯ
ในสภาพลิ้นห้อย ผมกัดฟันวิ่งต่อไป (คุณนึกภาพออกรึยัง?)

อีกฮิเดียว...


[ 9 ]
หลังผ่านโค้งสุดท้าย เราก็มาอยู่ในทางตรงระยะราวสี่ร้อยเมตรก่อนถึงเส้นชัย เป็นระยะสุดท้ายที่เราจะได้ใช้สมาธิพิจารณากับเส้นทางข้างหน้า และทบทวนกับหนทางที่ผ่านๆ มา จากเริ่มที่โหดร้าย เส้นทางของผมค่อยๆ กลับมาสวยงามเป็นปกติสุขอีกครั้ง และผมก็พบว่ามีบางอย่างไม่เหมือนเดิม ครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนๆ ตรงที่ผมไม่ได้วิ่งแต่เพียงผู้เดียว

เรียนทุกท่านที่เคารพ
ครั้งนี้ผมมีรัตนิรันด์และผู้ชายของเธอ (มิตรภาพใหม่ของเธอนั่นแหละ) เป็นคู่ที่วิ่งอยู่ข้างหน้า และคอยเหลียวมองกลับมาตลอดเวลาด้วยความห่วงใย
ให้ตายเถอะโรบินฮู้ด  ....เธอฟิตจริงๆ!

ที่สำคัญยังมีคุณประกายที่คอยวิ่งเคียงข้างๆ คอยเป็นกำลังใจ ช่วยแบ่งรับเอาความเจ็บปวดที่มีให้เบาบางจางลงได้อย่างวิเศษ จากหวายเป็นร้อยก็เหลือไม่ถึงสิบ เธอบรรจงดึงมีดสั้นเล่มนั้นออกให้ด้วยรอยยิ้มพิมใจ ในเวลาเดียวกันกับที่บรรยากาศเช้านี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีสนุกสว่างไสวหลังการลับลาไปของเมฆฝน


ผลคือ จันท์แจ่มฟ้าแจ้งแจงแวง

การมีกันและกันในปัจจุบันนั้นสำคัญและมีความหมายมากกว่ามาก
สิ่งมหัศจรรย์สามารถเกิดขึ้นได้จริงถ้าเราเชื่อใจในกันและกัน
แล้วไม่ใช่หรือที่เราควรวิ่งเข้าเส้นชัยไปพร้อมๆ กัน (ณิการ์)


ท่านที่เคารพ... และ

เรายังมีน้องเปิ้ลกับคุณป้านักรบอยู่ข้างหลังอีกไม่ห่างไม่ไกล
โน่นไง...ไฟวิบวับส่องแสงพ้นโค้งมาแล้ว


[ 10.5 กม.]
ไม่เลย.. ผมไม่เคยรู้มาก่อน

ว่ามีความอบอุ่นขนาดย่อมๆ ห้อมล้อมอยู่จริงที่ระยะนี้

7/06/2012

ผู้มาใหม่


คร่า่วๆ เกี่ยวกับน้องผู้มาใหม่เท่าที่รู้

- น้องเขาชื่อ 'นัท' แต่น้องเขาบอกเองว่าอยากให้เราเรียกเขาว่า 'นัทซึ'
- น้องเขาเรียนมาทางด้านการโรงแรม โปรแกรมอินเตอร์ฯ
- น้องเขาสนใจและชื่นชอบในการถ่ายภาพเป็นพิเศษ
- น้องเขาอายุ 22, เิ่พิ่งจบสดๆ ร้อนๆ
- น้องเขาเล่าว่าเคยฝึกงานที่โรงแรมบันยันทรี ในส่วนของร้านอาหาร
  (แต่นั่นมันก็ไม่น่าสนใจเท่ากับที่)
- น้องเขาบอกว่าเขามีงานอดิเรกคือ 'ตามไอดอล'
- .....????...
- น้องเขาเห็นเรางงงง จึงอธิบายเพิ่มเติมว่า..
- น้องเขาเป็นแฟนคลับของ AKB48 ( วงนี้ --> http://www.akb48.co.jp/ )
- น้องเขาตามวงนี้มากว่า 2 ปีแล้ว
- ชอบมว้ากก!
- น้องเขาบอกว่าถ้าสมมติว่าไฟไหม้บ้านนะ หนึ่งในของที่จะหยิบติดมือแล้ววิ่ง
  หนีออกมาก็คืออัลบั้มรูปภาพอันเป็นที่รักและหวงแหนยิ่งของสาวๆ วงที่ว่า
- คือแบบว่าชอบมว้ากก!!!
- น้องเขามีความใฝ่ฝันอยากไปดูคอนเสิร์ตของวงนี้ที่ญี่ปุ่นสักครั้ง
- (ที่จริงตอนเล่า น้องเขาใช้คำว่า 'คอน' เฉยๆ แต่เราเดาเอาเองว่าน่าจะเป็นคำว่า
  'คอนเสิร์ต' ได้ไม่ยาก ศัพท์วัยรุ่นก็ประมาณนี้แหละ)
- น้องเขาดูมีความสุขนะ เวลาเล่าถึงวงที่รัก ถึงคนที่ปลื้ม
- น้องเขาดูโชติช่วงชัชวาลมาก ..จริงๆ นะ! 
- น้องเขาชอบใส่เสื้อแขนยาวคอเต่าสีดำกับกางเกงยีนส์บ่อยๆ แต่เราไม่ได้
  ถามอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแต่งตัวนัก ของแบบนี้มันแล้วแต่สไตลรุ
- น้องเขาน่าจะดีใจในการงานที่ได้รับนะ เพราะเป็นงานแรกกับวัยทำงาน
  นี่ก็เพิ่งจะลงทุนทุ่มไปกับอุปกรณ์เหยียบแสนในงานนี้
- น้องเขาใช้แคนนอนเหมือนเรา แต่ของเราเป็นรุ่นแก่กว่า
- (ย้ำอีกทีนะ ว่า) น้องเขาชื่อ 'นัทซึ' เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ AKB48 และ--
- น้องเขาชอบบอกว่าเขา 'อะเคร' เวลาที่มีใครหยิบยื่นความเป็นห่วงเป็นใยให้

ซึ่งผมคิดว่าน่าจะหมายถึงคำว่า 'โอเค'
ที่แปลเป็นไทยได้ว่าตกลง

6/24/2012

คิดถึงสีฟ้าเวลา... (Missing Blue)


จัดห้องไปจัดห้องมาก็ไปเจอรูปใบนี้เข้าให้
โฉมหน้าของ 'สีฟ้า' ทีมที่ดีที่สุดในปีนั้น ด้วยที่ว่าเราคว้า 'แชมป์กีฬาสี' มาครอง
ผมเองยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมในตำนานชุดนั้น

ซึ่งจะชำระและรำลึกถึงส่วนผสมปนเปของความสำเร็จครั้งนั้นให้ฟังดังนี้

เริ่มที่เรามีไอ้ 'หัวตูด' เป็นนายทวาร ณัฐ เพื่อนผมตั้งฉายาให้น้องมันแบบนั้น เพราะรูปทรงหัวของน้องมันเหมือนก้นคน (ไอ้ณัฐมันอ้างว่าอย่างนั้น) แล้วพวกเราก็เฮโลสาระพากันเรียกตามด้วยความถูกอกถูกใจในฉายาที่ว่า แต่จะว่าไปฝีมือมันก็ดีจริงๆ นั่นแหละ นานๆ เราจะพบเจอคนที่อยากเล่นตำแหน่งนี้

เรามี 'อานนท์ ไพชำ' ชายผู้สวมหมวกตลอดเวลาเป็นกองหลังกับตันทีม ทุกๆ คนเห็นพ้องต้องกันว่าอานนท์คือกองหลังที่ดีที่สุดในยุคนั้น แต่แท้จริงแล้วเดิมทีไอ้'นนท์มันอยู่สีม่วง ถือเป็นบุญวาสนาของทีมเรา เพราะน้อง 'ลินดา' หญิงสาวที่มันหลงใหลได้ปลื้มอยู่สีเรา ในนามของกองหลังที่ดีที่สุด อานนท์จึงใช้อภิสิทธิ์นั้นย้ายสีมาเล่นกับเรา เผื่อจะเข้าตาน้องลินดาอันเป็นที่รักเข้าบ้าง และยิ่งได้มาเล่นคู่กันกับ 'เซียนโด่งไม่รู้ล้ม'  ยักษ์ปักหลั่นจากหลังสวนของเราด้วยแล้ว แผงหลังของเราก็ไร้เทียมทาน

ถ้า ณ เวลานี้นักเตะที่ดีที่สุดของในคือ 'แมสซี' นะ ยุคสมัยนั้นก็เป็น 'จูเนียร์' อย่างไร้ขอครหา เวลาลูกอยู่กับเท้ามัน ไอ้'เนียร์สามารถรังสรรค์เกมส์บุกได้ราวกับร่ายมนต์ มันมีทั้งความเร็ว ความแข็งแกร่งดุดัน อีกทั้งความแม่นยำในการยิงประตู แล้วพอมันได้กำลังเสริมอย่าง 'ฤทธาคะนอง' กลางรับหน้าตาไร้อารมณ์ของเราด้วยแล้วก็ยิ่งเล่นดีใจหาย ไอ้ฤทธาคะนองนี่ก็สำมะคัญนักแล เป็นคนประเภทปิดทองหลังพระโดยแท้ 

นอกนั้นในทีมเราก็ยังมีจรวดทางเรียบอย่างไอ้น้อง 'หน้ากระชาก' (ฉายานี้ไอ้ณัฐมันก็ตั้งให้อีก), ปีกฉัตร, ภูริทัต, น้องๆ เพื่อนๆ ในทีม แล้วก็ผม แบ็กซ้ายไก่กาผู้ถนัดขวา แต่เนื่องจากทีมเราไม่มีซ้ายธรรมชาติเหมือนสีอื่นๆ ผมจึงอาสาประจำการทางกราบซ้ายเพื่อทีม (อั่ยยะ! แมนมั่กๆ!) ซึ่งรวมๆ แล้วสีฟ้าของเราก็เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบจริงๆ ทั้งรุกและรับ

ไงล่ะ สีฟ้าของผม บาซ่าก็บาซ่าเหอะ ฮ่าๆ 

ด้วยช่วงนี้มีเทศกาลฟุตบอลยุโรปอยู่พอดี จึงอยากหยิบยกเอาเรื่องราวเก่าๆ ในความทรงจำมาเล่าสู่กันฟัง ภาพนี้เป็นภาพที่ถ่ายตอนก่อนเตะนัดชิงกับสีม่วง
ก่อนที่อีก 90 นาทีต่อมาเราจะคว้าแชมป์

6/20/2012

สักวันฉันจะ

เป็นกติกาสากล
ใครโดนยิงลูกแรกก่อนต้องถอดเสื้อ นั้นก็เพื่อให้ชัดเจนในการแบ่งข้างของเรา ให้ง่ายต่อเกมส์การเล่น หนุ่มๆ น้องๆ ข้างที่เกมส์รับหละหลวมปล่อยให้อีกฝ่ายบุกทะลวงเข้ามาทำประตูขึ้นนำได้ก่อน จำยอมต้องเปลื้องเครื่องนุ่งห่มชิ้นบนออก แต่คุณน่าจะรู้ว่ามันได้เผยให้เห็นอาภรณ์สีทะมึนอีกชั้นที่เร้นอยู่ภายใน

...รอยสัก

ระยะนี้พอแดดร่มลมตกฉันก็จะมาออกกำลังกายที่สนามแห่งนี้เป็นประจำ
ที่แห่งนี้เป็นลานกีฬาไม่เล็กไม่ใหญ่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่บ้าน ฉันสามารถปั่นจักรยานมาได้ ภายในบริเวณมีเครื่องออกกำลังกายอยู่ห้า-หกชิ้น ถัดไปมีลานแอโรบิกพร้อมเวทีขนาดย่อมเยา (แต่ยามเปิดเพลงออกลำโพงแล้วเสียงไม่เบาเอาเสียเลย : ) ให้บรรดาพี่ป้าน้าอาทั้งหลายได้โยกย้ายส่ายสะโพกกัน
ฉันชอบที่นี่เป็นพิเศษก็ตรงที่สามารถเห็นวิวภูเขาได้เสมอในเวลาเงยหน้ามองออกไปทางทิศนั้นนั่นเอง

หลังแล้วเสร็จจากการวิ่งอบอุ่นร่างกาย ก็ได้เวลาลงสนาม
เย็นวันนี้ในสนามบอลเรานั้นมีอยู่ด้วยกันสิบสองคน จึงแบ่งกันได้เป็นข้างละหก
และไม่ใช่เรื่องตลก ที่ห้าในหกของอีกข้างนั้นสักเต็มตัวไปหมด ไม่ว่าจะหน้าอก, แผงหลัง, ต้นแขน, ต้นคอ, สีข้าง ถ้าลองพินิจพิจารณาดูให้ดีก็จะเห็นทั้งเกราะเพชรหนุนดวง, ยันต์เก้ายอด, แปดทิศ, ห้าแถวมหาลาภ, โคตรปลาคาร์พ, มังกรและพยัคฆ์, สร้อยสังวาลย์, หนุมานฤๅษีและอีกมากมายทวยเทพอยู่ในนั้น เส้นสายลวดลายอักขระสีดำนั้นคล้ายกลายเป็นเครื่องแบบอีกแบบที่เกือบจะเหมือนกันของอีกฝั่งเลยทีเดียว

ฉันเห็นแล้วก็ให้รู้สึกอึ้งทึ่งและตกตะลึงพรึงเพริดกับฝั่งข้างของคู่แข่งเราทันที
รอยสักชโลมด้วยไคลเหงื่อนี่ก็ช่างสวยงามท้าทายผู้ชายอย่างฉันเหลือเกิน
มันทั้งตื่นตา ตื่นใจ และตื่นตัว

ฉัน ในความหมายที่นอกเหนือจากความเป็นผม
ฉัน ชายที่ชื่นชอบผีเสื้อและดอกไม้

ดูก่อนชายฉกรรจ์
สักวันฉันจะสัก!

5/25/2012

หั่นฉัน หั่นเยอรมัน

'คัธญ่า' (ไม่แน่ใจเรื่องตัวสะกด) เป็นสาวแรกรุ่น และเป็นเยอรมันรุ่นแรกที่มาโผล่ที่บ้านฉัน เธอลงมาเที่ยวกับเพื่อนสาวชาวไทยของเธอหนึ่งคืน

ไม่ผิด— นี่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ 'ลุยสวน' ที่ฉันจัดขึ้นนั่นเอง
เพราะร้อยปีพันวันก็คงน้อยกว่าน้อยที่จะเห็นคนเยอรมนีมาปรากฎที่นี่
จนแม่ฉันต้องแอบเลียบเคียงมากระซิบกระซาบกับฉันพร้อมเหงื่อเม็ดน้อยๆ กลางหน้าผากเล็กๆ ลับหลังเธอว่า 'ไม่เห็นบอกว่าจะมีฝรั่งลงมานี่นา'  -*-

ฉันรู้สึกเป็นเกียรติไม่ใช่เล่นทีเดียวที่มีชาวต่างชาติมาเยี่ยมมาเยือน
มื้อเย็นรับแขก (ที่เป็นเยอรมัน) วันนี้ฉันกับแม่จึงแจงจัดให้มีน้ำพริกกะปิฝีมือการตำของแม่เป็นตัวตั้ง (อยู่กลางโต๊ะ) แล้วรายรอบวงด้วยจานผัดผักบุ้ง ไข่ทอดผักชะอม และไก่ต้มตะลิงปลิง
ระหว่างที่รอข้าวสุก ฉันเชิญชวนให้เธอหั่นแตงกวารอ
คัธญ่าก็หั่นแตงกวาในแบบของเธอ—แบบที่โน่น—แบบเยอรมัน

จากแตงกวาหนึ่งลูกไม่เล็กไม่ใหญ่ เธอวางลงบนเขียง หั่นครึ่งเป็นสองท่อนจากตรงกลางตามขวางก่อน แล้วจึงนำมาซ้อนกันให้เป็นสองชั้น ก่อนบรรจงหั่นอีกครั้งตามแนวยาวให้ได้สี่ เป็นอันเสร็จพิธีเยอรมัน

ส่วนฉัน— ฉันหั่นตามแบบฉบับแม่ หั่นตามที่รักจำเอาไว้
เริ่มจากเฉือนหัวและท้ายออกเล็กน้อย กระชับถือไว้ในมือซ้าย หั่นในลักษณะควั่น ทำมุมเฉียงเล็กน้อยเพื่อเพิ่มพื้นที่หน้าตัด หลังจากที่ได้ชิ้นแรก จากนั้นก็บิดหมุนแตงกวาที่ถือไว้ครึ่งรอบ ควั่นหั่นปาดเฉียงๆ อีกครั้งในองศาเดิม แล้วทำซ้ำตามกระบวนที่ว่าจนหมดลูก ก็จะได้แตงกวาขนาดกำลังพอดีคำจำนวนหนึ่ง

แตงกวาของเราค่ำนั้นจึงมีด้วยกันสองแบบ
แบบของฉัน และแบบเยอรมัน ผสานผสมกันในจานผักจิ้มหนึ่งเดียว

พอเวลาอันสมควรเดินทางมาถึงในรูปของข้าวสวยสุกร้อนๆ หอมฉุย
เราคดข้าวจากหม้อใส่จานกันและกันด้วยรอยยิ้ม
คัธญ่าเลือกหยิบเอาแตงกวาที่ถูกหั่นในแบบของฉันขึ้นมา
ส่วนฉันก็เลือกที่เป็นอันของเธอ
แล้วเราก็จิ้มกินกับน้ำพริกกะปิถ้วยนั้นของแม่กัน
อร่อยเยอรมันอร่อยไทย

5/16/2012

I think it's cool now


ช่วงนี้ไม่ได้เขียนอะไรเลย รู้สึกคันไม้คันมือ
แวะมาเขียนเล่าอะไรเล็กๆ น้อยๆ ดีกว่า

วันก่อนพี่สาวชวนไปงานกินเลี้ยงวันเกิด ก็จัดที่ร้านคาราโอเกะแถวถนนกัลปพฤกษ์ใกล้ๆ บ้าน โอยย.. แถวนั้นร้านอาหารเพียบบ!

คนกินก็กินกันไป คนดื่มก็ดื่มกันไป ส่วนคนที่ร้องก็ร้องกันไป
แล้วก็มีคนกดขอเพลง 'ใจนักเลง' ของพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ไป (ยังเรียกพี่ได้ไหมนะ?) แต่กลายเป็นว่าได้ร้องในเวอร์ชั่นของคุณพี่ 'เสก โลโซ' ไป ไอ้เราก็ไม่รู้มาก่อนว่าพี่เสกเขาเคยร้องแก้เพลงนี้ไว้ด้วย ก็เลยเพิ่งเคยได้ฟังวันนั้นเอง ดนตรีเพราะดีเชียว เราคิดว่าเราชอบเวอร์ชั่นนี้นะ

ทีนี้ตอนจบของมิวสิควีดีโอที่ดู พี่เสกเขาก็บอกว่าขอให้เพื่อนๆ นักดนตรีเล่นต่ออีกหนึ่งห้อง ซึ่งจริงๆ มันควรจะจบได้แล้ว คุณพี่มือกลองซึ่งเป็นฝรั่งก็ถามว่า 'ทำไมคุณมึงบอกให้เล่นต่ออีกห้องหนึ่งเล่าวะครับ?'

พี่เสกของเราก็ตอบไปว่า
'I think it's cool now -- ณ จุดนี้กรูว่าแบบนี้แหละเจ๋ง'

แล้วก็ให้นึกถึงงานตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นภาพที่เอามาแปะนี่
น้องพนักงานขายที่ไปถ่ายงานที่ร้านกาแฟแห่งนั้นด้วยกันก็ถามทำนองว่า
'เอาหินมาวางไว้แบบนั้นจะดีเหรอคะคุงพี่ขา'

ตอนนั้นเราเองก็ตอบไปประมาณว่า 'พี่ว่าแบบนี้เก๋ดีออก'
 'Yes! I think it's cool now'

แหม่ๆๆ... ณ จุดนั้นก็ใจเดียวกันกับพี่เสกเด๊ะ!

5/09/2012

HDme



พาเพื่อนๆ ไปโครงการ 'ลุยสวน' ที่เราจัดมา
เพื่อนก็ถ่ายไว้ให้ น่ารักดี ยุคสมัยนี้มันต้อง HD กันบ้าง
ขอบคุณมากครับเฉดฯ ; )

 .........

ป.ล. 1 ใครหลงเข้ามาดูก็แนะนำให้อดทนดูกันแบบเล็กๆ อย่างที่แปะไว้ให้นะ 
อย่าไปขยายใหญ่ในหน้าต่างใหม่เลย... อาย >///<

ป.ล. 2 "สนุกมาก วันที่อากาศร้อนแสนร้อนก็ยังมีเรื่องอะไรที่ทำแล้วช่วยให้เย็นใจได้ ยิ่งวันที่อากาศดีๆ
เจอบรรยากาศน่ารักๆ ของบ้านพี่เข้าไปวันนั้นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่..."

ป.ล. 3  "ขอขอบคุณเจ้าของสวนอย่างเป็นทางการ สำหรับทริปมหัศจันท์...
สถานที่ไม่ได้เป็นข้อจำกัดของการ เดิน นอน กิน เที่ยว เม้าท์ และ เข้าสวน... 
เป็นอีกหนึ่งทริปของความทรงจำ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเหมาะเจาะและลงตัว 
โดยไม่ต้องผ่านการประดิษฐ์ หรือปรุงแต่งแต่ประการใด... 
ขอบคุณ อาหารมื้ออร่อยน้ำมือแม่ที่ใช้ใจปรุง เคี่ยวด้วยความใส่ใจ 
หมูต้มถั่วอร่อยมากๆ... 
ขอบคุณ เสื่อจันทบูร ที่ทำให้แผ่นหลังได้สัมผัสกับความนุ่มละมุนของคืนวัน พระจันทร์เต็มดวง... 
ขอบคุณ ห้องพระและดอกสเลเต ที่ทำให้สวดมนต์เช้าด้วยกลิ่นฟุ้งหอมของธรรมชาติ... 
ขอบคุณ อบต.คลองนารายณ์ที่ให้เกียรติมาดื่มไวน์ด้วยกันค่อนคืน... 
ขอบคุณ 'มังคุด' ที่ทำให้เกิดทริปอันแสนวิเศษนี้... 
และขอบคุณ มิตรภาพของเพื่อนร่วมทริปทุกคน... 
เชื่อมั่นเหลือเกินว่า... ไม่เพียงแต่คบกันได้สนิทตา... 
ซ้ำยังอุ่นหวานสนิทใจ... "


ปันกันอ่านนะครับ กับข้อความแสนสวยงามจากลูกทริปที่ผ่านๆ มา
ขอบคุณมาก...
ขอบคุณ
^__^

4/18/2012

<ขายของ>






รอบนี้มาแปะโปสเตอร์ขายของสักสี่ซ้าห้าใบนะ
เผื่อว่าจะขายของได้บ้างสองสามใบ ^^"

4/03/2012

C1 / O24


จริงๆ อยากจะทำประชาสัมพันธ์ให้มันแบบว่าเปรี้ยงปร้างโครมครามกว่านี้นะ
กับผลงานลำดับที่ 4 ของเราที่มีชื่อว่า "模のインド" -- 365 days later
เป็นหนังสือภาพบันทึกการเดินทางขนาดย่อมที่อินเดีย เมื่อเมษาฯ ปีที่แล้ว
อันเป็นว่าครบรอบปีพอดิบพอดีตามชื่อหนังสือ แต่ทีนี้โครงการ "ลุยสวน" ที่เราจัดขึ้นด้วยความตั้งใจเป็นกำลังก็ได้เริ่มขึ้นด้วยแล้วเช่นกัน ซึ่งก็ต้องเตรียมตัวอย่างมากเลย ไหนจะงานประจำที่ทำอยู่อีก โน่นนี่นั่น โอย...เยอะ แต่สนุก ในตอนที่มาอัพบล็อก (จากที่ไม่ได้อัพนาน) รอบนี้ Pre trip อาทิตย์แรกก็เพิ่งจะจบลงอย่างสวยสดงดงามเป็นที่น่าพอใจ ไม่รู้สิ-อย่างน้อยเราก็คิดว่างั้นนะ

เอาเป็นว่าใครได้ไปเดินงานสัปดาห์หนังสือฯ ปีนี้ก็แวะไปอุดหนุนได้นะ
อยู่บูธ C1 / O24 'วารสารหนังสือใต้ดิน'
ใครอุดหนุนเราก็จะขอบคุณมากๆ ของหายากนะนั่น ^,^"

.........

วันนี้ไปถ่ายร้านอาหารมาร้านหนึ่ง พอถ่ายเสร็จพนักงานที่นั่นก็เดินมาบอกว่า "กินเสียหน่อยก็แล้วกันนะคะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว" เราก็อมยิ้มเล็กน้อยนึกขำกับคำว่า 'ไหนๆ ก็ ไหนๆ แล้ว..' อารมณ์มันไทยๆ ดีแฮะ ภาษาต่างประเทศจะแปลสำนวนที่ว่านี้ยังไงน้าาา..... ช่างปะไร กินก่อนก็แล้วกัน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนี่

2/29/2012

เป็นโครงการ คล้ายๆ นิทรรศการ "ลุยสวน"

สืบเนื่องจาก “ฤดูผลไม้” ที่กำลังใกล้เข้ามา เป็นปกติที่ทุกๆ ปีผมจะลงตะวันออกไปช่วยพ่อกับแม่เก็บผลไม้ที่บ้านสวน (อ. คลองนารายณ์ จ. จันทบุรี) ซึ่งบางคนที่สนิทรักใคร่กันก็จะถามไถ่ด้วยความห่วงใยแกมอยากรู้ว่าหายไปไหนอยู่ได้ในช่วงนี้ทุกปีๆ และด้วยที่ว่าช่วงหลังๆ มานี่ผมเองนั้นมีความคิดว่าอยากจะจัดทริปของตัวเองขึ้นมาบ้างด้วย

ทีนี้กับทริปแรกที่อยากจะจัดก็เลยคิดอย่างง่ายๆ เข้าไว้ก่อนว่าคงไม่มีสถานที่ไหนที่จะเหมาะสมไปกว่า “บ้าน” ของตัวเองอีกแล้ว จึงคุยกันเป็นมั่นเป็นเหมาะกับที่บ้านว่าแทนที่จะเก็บกันเองเหมือนเดิมแต่เก่าก่อน ปีนี้ขอเป็นรูปแบบใหม่ๆ กันดีมั๊ย เรามาลองร่วมด้วยช่วยกันเก็บจะดีกว่าไหม

คุณๆ ได้เที่ยว ผมและที่บ้านได้งาน : )

จึงใคร่อยากจะเชิญชวนเพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆ ที่น่ารักทุกๆ ท่านได้มาท่องเที่ยว “บ้านสวน” ของผมเอง มาลองเยี่ยมชมวิถีชาวสวนผลไม้ในแบบบ้านๆ ที่ “เป็นอยู่” และ “เป็นไป” กัน ร่วมแบ่งปันเรื่องราวนานา และใช้จ่ายวันเวลาด้วยกัน กินนอนกันแบบง่ายๆ ที่บ้านผม ช่วงสายๆ ของวันดีๆ (ไม่บ่ายวันเสาร์ก็น่าจะเป็นเช้าวันอาทิตย์นะ) จะพาลุยสวนไปเก็บผลไม้กันพอหอมปากหอมคอ โดยจะเน้นไปที่ “มังคุด” ราชินีแห่งผลไม้อันมีอยู่มากมายเป็นหลักก่อน ส่วนหากสัปดาห์ไหนจังหวะดีมีเงาะ ลองกอง หรือทุเรียนเก็บเกี่ยวได้ ก็จะจัดสรรให้ด้วยความยินดี

หรือหากท่านมีเรี่ยวแรงที่เหลือเฟือ จะไปเยี่ยมชมการกรีดยางพาราของชาวบ้านก็จะเป็นผู้นำพาไปให้ตามเสียงเรียกร้อง (ถ้ามีนะ)
อยากชมตลาดเช้าชาวบ้านก็จะชวนปั่นจักรยานพากันไป
และหากว่าอาทิตย์ไหนตรงกับวันพระพอดีก็พร้อมจะจัดสรรอาหารหวานคาวแล้วพาไปเข้าวัดทำบุญให้อิ่มเอมจิตใจกันไป

ส่วนเวลานอกจากนั้น ใครใคร่น้ำตก ใครต้องการ (อาหาร) ทะเล หรือเดินเล่นย่านชุมชนเก่าริมน้ำ ก็เรียนเชิญตามสบายครับ


(ภาพถ่ายโดยน้องชาย พ่อเป็นนายแบบ)

++++++++++++++++


กำหนดการ
กิจกรรมนี้จะจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นประจำในช่วงต้นเมษาฯ ถึงต้นมิถุนาฯ
รวมระยะเวลา 2 เดือนเศษๆ ในทุกๆ สุดสัปดาห์

31 มีนา - 1 เมษา (Pre Trip)
6 – 7 – 8 – 9 เมษายน นี้เป็นสัปดาห์แรก ...
(4 วัน รวมวันจักรีและวันหยุดพิเศษ)
21 – 22 เมษา
28 – 29 เมษา

5 – 6 – 7 พฤษภา ...
(3 วัน รวมชดเชยวันฉัตรมงคล)
12 – 13 พฤษภา
19 – 20 พฤษภา
26 – 27 พฤษภา

และ 2 – 3 – 4 มิถุนายน ...
(3 วัน รวมวันวิสาขบูชา) อันเป็นสัปดาห์สุดท้าย

นับรวมแล้วได้ 9 สัปดาห์ (เว้นสัปดาห์หยุดสงกรานต์)
ส่วนในรายละเอียดของแต่ละสัปดาห์จะค่อยๆ ทยอยมาบอกกล่าวกันอีกครั้งเป็นแต่ละสัปดาห์ไปหลังจากนี้ทางอีเมลและหน้าอีเวนต์ชื่อ “ลุยสวน” ในเฟสบุ๊ก
(เพราะคาดว่าตารางเวลาจะไม่ตายตัว และมีแนวโน้มว่าจะยืดหยุ่นมาก)

การเดินทาง
1. สามารถนั่งรถทัวร์โดยสาร “กรุงเทพฯ – จันทบุรี” จากเอกมัยมาได้
(ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ราคา 187 บาท)
2. หรือนั่งรถตู้โดยสารจาก “กรุงเทพฯ – จันทบุรี” จากอนุสาวรีย์ฯ มาก็ได้
(ใช้เวลา 3 ชั่วโมงเศษๆ ราคา 180 บาท)
3. หากปรารถนา จะมารถส่วนตัวก็ย่อมได้ จากกรุงเทพฯ ขึ้นทางด่วนบูรพาวิถีตรงเข้าชลบุรี เลี้ยวเข้าระยอง วิ่งผ่านแกลง เลี้ยวซ้ายเบาๆ ที่แยกสามย่าน แล้วจึงตรงยาวเข้าจันท์ สามารถโทร.มาสอบถามเส้นทางได้ตลอดเวลา (ใช้เวลา 3 ชั่วโมงนิดๆ ถ้าขับปกติ)

ค่าใช้จ่าย
กินอยู่อย่างชาวสวนนั้นไซร้ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
แค่เตรียม'ตังค์ไว้กับค่าเดินทางมา “ลุยสวน” กันก็พอ

คำแนะนำเพิ่มเติม
1. ทริปนี้เน้นเข้าสวนโดยเฉพาะ จึงไม่เน้นท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ นัก
แต่อาจดูความลงตัวกันอีกครั้งหนึ่ง
2. ทริปนี้เป็นทริปแรกที่จัด คุณอาจจะพบกับความขาดตกบกพร่องอย่างมากมายจนน่าใจหาย

วิธีสมัคร
1. เช็คกับตัวเองว่าโอเคกับรายละเอียดด้านบนและทนแดดทนฝนพอใช้
2. แต่ละสัปดาห์นั้นรับทั้งหมดไม่เกิน 7 - 8 ท่าน
3. ส่งอีเมลแจ้งความประสงค์ พร้อมเบอร์โทร มาที่ 1306ix@gmail.com ก่อนวันพุธของในแต่ละสัปดาห์
5. สงสัยประการใดก็ถามได้ทางคอมเมนต์ด้านล่าง หรือ 1306ix@gmail.com
หรือ facebook.com/1306ix ใครยังไม่ได้เพิ่มเป็นเพื่อนก็ Add มานะ
ถ้าเร่งด่วนก็ 081-377-1037 เลย

*หากสนใจแล้วกรุณาอย่ารอท่า รีบชวนกันมาร่วมกิจกรรมดีๆ นี้ด้วยกันเอย

ขอขอบคุณด้วยไมตรี

2/14/2012

The Second Marathon Attack


ถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึกถึงกรุงเทพฯ มาราธอนครั้งแรก-- 10 กิโลครั้งที่ 2
เวลาดีกว่าครั้งก่อนที่วิ่งที่อยุธยาเมื่อปีกลาย 10 นาที
เช่นเคย-- 6 กิโลแรกยอดเยี่ยม พลังใจและกายเต็มเปี่ยม
แต่หลังจากนั้นก็เริ่มมีโอเปร่าจากขาทั้งสอง
กล้ามเนื้อกรีดร้องดังเคย ก็เลยเดินวิ่งดูวิวไปเรื่อยๆ แทน
เส้นสายหลายสิบบนสะพานพระรามแปดสวยงามในยามต้องแดดเช้า
บ้านช่องร้านรวงย่านนั้นยังสะลึมสะลือดูน่ารักไปอีกแบบ
จิบน้ำเย็นตามจุดแจก ชิมแตงโมที่ชาวบ้านใจดีนำมาเสนอ
ป้ายแปะมือกับเด็กๆ ที่มายืนเรียงรายทางให้กำลังใจ
กักเก็บเรี่ยวแรงไว้ใส่กับใน 2 กิโลสุดท้าย

ส่วนต่าง 10 นาทีที่ลดลงกับเวลาชั่วโมงกว่านั้นไม่ใคร่ดีนักก็จริง
แต่ว่าความรู้สึกยังเหมือนเดิมเวลาวิ่ง
คือไม่เลวเลย

^__^

.........

ป.ล. คราวนี้ได้เหรียญที่เป็นเหรียญซะทีนะลิลลี่

2/09/2012

Inter (rest) sections


ช่างเป็นสี่แยกที่น่าสนใจอะไรอย่างนี้หนอ!

เพราะความตื่นเต้นจะมาเยือนทันทีที่คุณโผล่พ้นขึ้นมาจากรถไฟฟ้าใต้ดิน
คุณจะเจอะเจอบรรดาพี่วินมอเตอร์ไซค์สายพานซูชิไข่กุ้งที่ตรงแยกนั้น
(ไม่มีใครบอก— ผมตั้งชื่อเรียกนั่นของผมเอง)
ยิ่งในชั่วโมงเร่งด่วน พวกพี่วินฯสายพานที่นี่วิ่งกันตาลายตาเหลือกกันเลยทีเดียว

หากละความน่าสนใจของพี่วินฯ ไปได้ แล้วลองพิจารณามองโดยรอบให้ถ้วนถี่
คุณอาจจะพบสัจธรรมแห่งมหานครเมืองฟ้าอมรที่สี่แยกนี้ก็เป็นได้

มุมฝั่งหนึ่งใต้ต้นศรีมหาโพธิ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์เป็นชุมทางมาช้านาน
อันมีรถไฟฟ้าใต้ดิน มีวินฯ มอ'ไซค์ มีคิวรถสองแถว รวมถึงจุดจอดแท็กซี่
ทั้งอีกใกล้ๆ กันนั้นก็ยังมีป้ายจุดจอดรถโดยสารประจำทางด้วย

นั่น— มุมฝั่งนั้นเป็นคอนโดหรูสนนราคาค่าห้องหลายแสนหลายล้าน
เป็นห้องชุดชนิดที่ว่าลำพังเพียงคนมีสตางค์อย่างเดียวคงซื้อไม่ได้

โน่น— มุมฝั่งโน้นเป็นศาลพระพิฆเนศ ศูนย์รวมแห่งความเชื่อความศรัทธา
และในเพลาค่ำก็จะปรากฎแม่หมอ พ่อหมอต่างๆ มาตั้งโต๊ะทำนายทายทัก

และอีกมุมฝั่งสุดท้าย ฝั่งของท่านชายทั้งหลาย
ฝั่งนี้ไม่คุ้นชินกับกลิ่นกลางวันนัก แต่ในยามราตรี บรรดาหมอสมัยใหม่หน้าแฉล้มก็จะกรีดกรายออกมาเฉิดฉายให้ท่านชายได้เชยชมกันจนฟ้าสาง

มหานครแท้ก๋า.. แยกรัชดา—ห้วยขวาง

1/26/2012

My Big Fat Jeab Wedding ^ , ^



พี่เจี๊ยบกำลังจะลั่นระฆังวิวาห์ต้นมีนา
เลยชวนเรากับ djbeing ไปช่วยถ่าย Pre-Wedding ให้หน่อย
บอกตามตรงว่าไม่ถนัดนัก ทำให้ต้องทำการบ้านกันนิดนึง
แต่หลังจากถ่ายเสร็จแล้ว โดยรวมก็เป็นที่น่าพอใจ

หนึ่งสิ่งที่ได้เรียนรู้และตระหนักจากงานนี้ก็คือ
กับบางงาน ผู้ช่วยนั้นสำคัญมาก สำคัญจริงๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
งานๆ นั้นอาจจะลุล่วงหรือล้มเหลวก็อยู่ที่ผู้ช่วยหรือทีมงานนั่นเอง
โดยเฉพาะทีมงานที่พูดจาภาษาเดียวกันนี่สำมะคัญนักแล

Thanks for all ; - )

1/18/2012

excuse

“ขอโทษนะ ผมเป็นตำรวจ”
ผมเหลียวหันมองไปตามต้นสายของเสียงที่ว่า
คุณคุ้นๆ กันบ้างไหม ไม่เป็นไร ไม่ได้สลักสำคัญอะไร บางคนอาจจะไม่เข้าใจ นั่นเป็นเพราะเรามี ‘ขอบเขตแห่งการอ้างอิง’ (Field of reference) แตกต่างกันไป แต่ผมไม่เคยลืม กับประโยคแคลาสสิกที่ชื่นชอบอันโด่งดังของ Infernal Affairs จากปากเฮียเหลียงฯ ตอนที่เฮียเขาพูดออกไปในฉากใกล้จบของเรื่องนั้นยังคงสถิตติดอยู่ในใจ

จะว่าไปผมค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่าพี่เขา (พี่คนพูด— กลับมาที่พี่คนที่พูดกับผมแล้วนะ) เป็นตำรวจของจริงขนานแท้ อิงเอาจากแผ่นป้ายทะเบียนสีกากีมีตราโล่ท้ายพาหนะที่พี่เขาขี่มาแผ่นนั้น คือถ้าพี่เขาไม่ใช่ผู้ร้ายที่อุตริริขโมยรถจักรยานยนต์คุณตำรวจตัวจริงเสียงจริงเขามา ก็หมายความว่าพี่เขา (เองนั่นแหละน่าจะ) เป็นตำรวจตัวจริงเสียงจริงจริงๆ อย่างที่บอก

เดี๋ยวสิ! นี่อะไร! เปล่านะ! ผมไม่ได้เป็นสายให้ใครนะ ไม่เคยฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่เคยไปฆ่าแกงหรือจี้ปล้นใคร ไม่เคยทำร้ายร่างกายใครนอกจากตัวเอง
โอเค— อาจมีบ้างที่เมาแล้วต้องกลับบ้านจึงจำเป็นต้องขับยวดยานยนต์ แต่นั่นมันก็น้อยเสียยิ่งกว่าน้อยครั้งมาก

“เพื่อนอสุจิ๋ว”
พี่ชายร่างกายกำยำพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นในวลีบอกเล่าธรรมดาๆ แต่ใส่เครื่องหมายคำถามมาด้วยบนใบหน้าที่ขรึมเข้มคมคายเหมือนนายทองเหม็น
หนึ่งในวีรบุรุษผู้หาญกล้าจากบางระจัน

“ครับ” คำเดียวที่หลุดรอดออกจากปากผมไป

“ทีมเดียวกัน”
พี่เขาพูดอีกทีในรูปแบบเดิมด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด
ทว่าแต่รอบนี้มีแอบโยนรอยยิ้มส่งตามท้ายมาด้วย พร้อมกับนิ้วมือที่ชี้ไปมาๆ ทางผมและพี่เขาอันอ่านออกได้ประมาณว่า ‘เหมือนกัน’ หรือ ‘พวกเดียวกัน’

“อ๋อ......ครับ”

ความโปร่งโล่งก่อเกิดขึ้นภายในอกผมทันใด อารมณ์คลายๆ ตอนลุ้นอ่านค่าชุดเครื่องมือตรวจการตั้งครรภ์แล้วพบว่าผลออกมาเป็นลบ ไม่ปรากฎเส้นแถบเพิ่ม โอละพ่อ— เพื่อน ‘ไอ้จิ๋ว’ นี่เอง ข้าราชการตำรวจไทยเราไม่ค่อยชำนาญในเรื่องการติดต่อสื่อสารจริงๆ ด้วยนั่นแหละ
แหม...ไอ้เราก็คิดฟุ้งเป็นคุ้งเป็นแควไปถึงไหนต่อไหน จริงสิ— มันเป็นตำรวจ และมันก็ส่งเทียบเชิญชวนผมมาเตะบอลกับพวกเพื่อนๆ มันทางเฟสบุ๊ก จึงเป็นเหตุให้ผมต้องมายืนรออย่างโดดเดี่ยวในซอยเปลี่ยวอยู่คนเดียวเช่นนี้ เล่นเอาเสียตกอกตกใจหมด ขี้ตกใจไม่น้อยนะเรา ฮ่าๆ ๆ มันเป็นตำรวจ พวกเพื่อนมันก็น่าจะเป็นตำรวจสินะ ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ

.........

ถึงจะเหนื่อยแท้ แต่ก็สนุกจริง วันนั้นผมขอตัวกลับก่อนเพราะเดี๋ยวจะดึก แต่ดันสะเพร่าลืมกระเป๋าหิ้วทิ้งไว้ที่สนาม จึงเคาะข้อความไปถามคุณอสุจิ๋วมันทางเฟสฯ (I love Facebook and I play always) ว่ามีใครได้เก็บไว้ให้บ้างหรือเปล่า แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะสภาพมันก็ย่ำแย่เสียเหลือเกินที่จะเยียวยาแล้ว จะได้ถือโอกาสซื้อใหม่พร้อมกับสตั๊ดที่พังไปวันนั้นเสียเลย

แล้วคำตอบอันชวนชื่นหัวใจที่มันเคาะแป้นพิมพ์ส่งกลับมาสั้นๆ แต่ได้ใจความหนักหน่วงเหมือนกับคุณพี่เขาคนนั้น— นายทองเหม็น— เพื่อนมัน ก็คือ...
‘ค่าไถ่’

ผมเคาะกลับไป
‘ขอโทษนะ ไหนเพื่อนมึงบอกว่าพวกมึงเป็นตำรวจ แสรดดด’