3/28/2011

วัฒนธรรมชาติ


นึกอยู่นานสองนานว่าจะเขียนถึงทริปลำปางอย่างไรดี
งั้นเอาองก์สุดท้ายบนรถไฟแล้วกัน คืออย่างนี้..

เกิดการผิดแผนเล็กน้อยถึงปานกลางในขากลับจากทริป “วัฒนธรรมชาติ”
โบกี้ที่คณะเราทำการจองไว้ในทีแรกนั้นเป็นตู้นอนปรับอากาศแบบเหมาตู้ แต่จะด้วยความผิดพลาดประการใดก็มิอาจทราบได้ (และที่จริงผมก็ไม่ได้ใส่ใจนัก) เราจึงได้ตู้นั่งธรรมดาแบบรับลมจากธรรมชาติกลับบางกอกกัน ถือเสียว่าเป็นเซอร์ไพรส์เล็กๆ น้อยๆ

แต่ผมชอบนะ— เพราะถ้าพูดถึงการเดินทาง เรื่องผิดแผนนั้นมันคือสเน่ห์ที่ทำให้หัวใจเราเต้นแรงกว่าปกติ ตื่นเต้น และมักจะลงเอยด้วยประสบการณ์แปลกใหม่อย่างที่ไม่เคยคาดคิด ไม่ว่าจะร้ายหรือดีก็ตาม
แน่ล่ะ— ก็มันผิดแผนนี่นา

พูดถึงทริปที่ชื่อ “วัฒนธรรมชาติ” สักหน่อย
ทริปนี้คือทริปที่อาจารย์ยงยุทธ จรรยารักษ์ ได้พาคณะเราไปเรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมและธรรมชาติอย่างที่มันควรจะเป็นที่ลำปาง บอกเล่าสู่กันฟังโดยที่มีวัด วิหาร และโบราณสถาณของลำปางเป็นฉากหน้า

เนื้อหาคร่าวๆ ของทริปนี้ที่พี่ก้อง ทรงกลด ผู้จัด เขียนอธิบายรายละเอียดไว้ก็คือ

“วัฒนธรรม คือ การดำเนินชีวิตของผู้คนผ่านกาลเวลาที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
บทบาทของวัฒนธรรมจึงเป็นการปฏิสัมพันธ์กันของชีวิตที่กระทำกับพื้นที่ผ่านกาลเวลา เราควรเข้าใจวัฒนธรรมในอดีต เพื่อปรับวางรากฐานในปัจจุบัน อนาคตจะได้แจ่มใส เราจึงควรแปลงวัฒนธรรมให้เป็นอนาคต ไม่ใช้แปลงให้เป็นเงิน
และที่สำคัญไปกว่านั้น วัฒนธรรมคือวิถีชีวิต…”


ถือเป็นโชคดีจริงๆ ที่แดดจัดจ้าฟ้าโปร่งใสทั้งสองวัน
มันเหมือนลำปางทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่น่ารักพร้อมเปิดบ้านต้อนรับอาคันตุกะอย่างคณะเรา หลายต่อหลายคนจึงได้ภาพถ่ายงามๆ ติดกล้องกลับบ้าน
ตัวผมเองก็จะจดจำเรื่องราวที่ได้รับจากการบอกเล่าจากอาจารย์ และทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างที่ได้เรียนรู้จากทริปล้ำค่าทริปนี้ให้คงอยู่ในความทรงจำตลอดไป

.........

เอาล่ะ ตัดภาพกลับมาที่โบกี้เราอีกครั้ง
คราวนี้ฟ้ามืดลงแล้ว ขบวนรถก็มาถึงนครสวรรค์ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ตามทางบางโค้งผมชะโงกโผล่หน้าออกไปรับลมและชมวิวนอกตัวรถ
เงยหน้ามองฟ้า งามแท้ พระจันทร์ดวงเป้งลอยเคว้งอยู่ข้างบนและแย้มยิ้มส่งให้
นี่ผมยังไม่ได้หย่อนก้นลงนั่งเลยนะเนี่ย ก็เพราะมัวแต่ยืนฟังเรื่องราวต่างๆ จากน้องๆ ที่ร่วมทางไปด้วยกัน
มันเพลินจริงๆ นะจะบอก คุณลองนึกภาพตามดูเอาก็ได้

บนทางรถไฟสายเหนือสุดแสนคลาสสิกที่เต็มไปด้วยคนหนุ่มสาวที่มีจิตใจดีงาม (ผมเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ) มาอยู่รวมกัน ร่วมแบ่งปันเรื่องราวและเรื่องเล่ามากมาย โดยมีดวงจันทราขนาดมหึมาที่สุดในรอบเกือบ 20 ปีเบื้องบนเป็นสักขีพยาน (มันใหญ่จนใครบางคนก็บ่นแสบตา) โบกี้มหัศจรรย์ที่เปี่ยมแน่นไปด้วยความฝัน

และอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่คุณก้อง ทรงกลด บางยี่ขัน เจ้าของผลงาน “ดาวหางเหนือทางรถไฟ” หนังสือในดวงใจของเรารวมไปถึงนักเดินทางหลายๆ คนอยู่กับเราที่นี่ และยังคงตอบร้อยแปดคำถามจากน้องๆ

“คนหนุ่มถ้ามีปีกแล้วไม่บิน ปีกก็คือส่วนเกินของชีวิต”

พี่ก้องนำวาทะเด็ดของคุณญามิลามาตอบบางคำถามของเรา
เหมือนหมัดน็อก— ผมจำได้แม่น เพราะมัน “โดน” เข้ากลางใจ
และฟังดูคล้ายจะเป็นบทสรุปจบของเรื่องราวทั้งหมดในค่ำคืนนี้
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมจะจดจำไว้บอกเล่าต่อๆ ไป เหมือนที่เพื่อนร่วมทางรุ่นพี่ท่านหนึ่งในทริปกรุณาชี้แนะผมจากใจว่า
“สิ่งดีๆ มีไว้แบ่งปัน”

.........

เช้าตรู่วันจันทร์ นกกระจิบกระจอกโบยบินออกหาอาหาร เรามาถึงหัวลำโพงตามกำหนดการ สมาชิกบางท่านก็ต้องเดินทางไปทำงานต่อเลย รวมทั้งผม
หัวลำโพงผู้คนพลุกพล่านละลานตาเหมือนเดิม ทั้งกลุ่มที่เพิ่งมาถึงเหมือนๆ เรา หรือที่กำลังเตรียมตัวจะออกเดินทางไกล
หันซ้ายมองขวาหาเพื่อนๆ ร่วมทริป สังเกตว่าจำนวนสมาชิกนั้นลดลงไปเยอะ

ผมแอบยืนยิ้มและคิด
จะบินไปถึงไหนกันแล้วนะ

3/24/2011

โอ่ว์.. ลำปาง เธอสวยเหลือเกิ้นลำปางของพี่









































ไม่เค๊ย ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้เที่ยววัดวาอารามที่ลำปางในแบบเจาะลึกสุดกึ๋นกันไปข้างนึงแบบนี้ -- ทริปสุดสัปดาห์แสนวิเศษ
งดงามมาก สนุกมาก ชอบมาก ประทับใจมาก สุดยอด
ที่ประทับใจที่สุดคือบรรดาเรื่องเล่าต่างๆ นานาจาก อ. ยงยุทธ
มันทำให้เรามองโลกใบนี้จากที่เคยเปลี่ยนไปเยอะเลย

ขอบพระคุณมากครับ

.........

ป.ล. ไม่เห็นจะหนาวเลยเหอะ Ha-Ha-

3/13/2011

8.9 richter







เมื่อวันศุกร์ราวบ่ายสองมีถ่าย Lunch Set ที่ร้าน Blue Elephant ตรงสาทร
เอะใจอยู่นิดๆ เหมือนกันว่าทำไมวันนี้นายดูไม่ค่อยมีสมาธิจะทำงานเท่าไหร่ เอาแต่นั่งเพ่งดูอะไรก็ไม่รู้ในไอโฟน ซึ่งผิดปกติวิสัย
เสร็จจากที่ร้านก็กลับออฟฟิชกัน แล้วนายก็บอกว่า "ที่ญี่ปุ่นมีแผ่นดินไหวค่ะ ที่เซนได บ้านโทโมโกะค่ะ"
ที่แรกเลยเราก็ไม่ตกใจเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าที่โน่นเขาไหวกันเป็นประจำ แต่พอกลับมาถึงออฟฟิช เช็กข่าวดู โห! นี่มัน 8.9 ริกเตอร์ บ้าไปแล้ว! ทั้งแผ่นดินไหว แล้วก็มีสึนามิสูงเกือบ 10 เมตร เล่นงานเอาทางตอนเหนือซะเละเลย ปรากฎว่าบ่ายวันนั้นทุกคนที่ออฟฟิชเลยนั่งเปิดข่าวดูกัน ทุกคนใจเสียไปตามๆ กันกับเหตุการณ์นี้ เพราะนี่มันเรื่องใหญ่มาก พอข่าวรายงานว่ารุนแรงมากในรอบหลายร้อยปีก็ยิ่งตกใจ แล้วก็เป็นห่วงคนอื่นๆ ที่เรารู้จักที่โน่น ทั้งเพื่อนๆ น้องๆ และครอบครัวของนาย

ภาวนาให้ทุกคนที่โน่นปลอดภัย
ขอให้ทุกคนปลอดภัย

(ภาพจาก msnbc.com)

3/05/2011

Beternity



"If You Love Somebody Set Them Free" — String

.........

เหมือนวันเวลามันหมุนวนเป็นวงกลม
เรานัดเจอกันครั้งแรกที่ลานหน้า Central World ในงานนิทรรศการภาพถ่ายชุด Planet Ocean, A Voyage to The Heart of Marine Realm ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานเทศกาล La Fete ปี 2009
ภาพทุกภาพใต้ทะเลลึกวันนั้นช่างสวยงามน่าอัศจรรย์ ตราตรึงใจ

หลังดูงานเสร็จ เรานั่งพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยต่อจนดึกดื่น
รถราเริ่มบางตา ไฟฟ้าทยอยดับ เราร่ำลา
ผมมีความสุขมาก เป็นค่ำคืนมหัศจรรย์ในรอบหลายปีของผมเลยทีเดียว
ทั้งภาพถ่ายทั้งหลายเหล่านั้น และเธอ - ภาพจริงที่มีมิติจับต้องได้
ผมเก็บค่ำคืนนั้นกลับมาฝันหวาน แล้วจากนั้นเราก็คบหากันเรื่อยมา

นั่นเป็นวันแรกที่เราพบกัน ผมจดจำได้ไม่เคยลืมเลือน

………

บอกได้เลยว่าปี 2010 สำหรับผมนั้นถือเป็นปีที่ดีที่สุดเท่าที่ชีวิตเคยผ่านมา
เพราะมันเป็นปีที่มีเรื่องราวของเราเกิดขึ้นมากมายมหาศาล
เรื่องเล่าจากผมและเธอ แตกต่างจากปีก่อนๆ
ที่มีเพียงแต่เรื่องเล่าของผมผู้เดียว

วันแล้ววันเล่าที่เรามีกันและกัน เราดื่มกิน เราท่องเที่ยวเดินทาง ตั้งแต่นอนในท่านั่งบนรถไฟฟรีชั้นสามเก้าอี้นั่งแข็งโป๊ก ไล่ไปจนกระโดดทิ้งตัวลงบนเตียงสุดนุ่มมหึมาในรีสอร์ทหรูหราห้าดาว เราโบกรถ นอนเต้นท์ ดำน้ำ ทำโปสต์การ์ด ขายเสื้อ ไหว้พระ ดูคอนเสิร์ตบนเขา หรือแม้แต่เกิดอุบัติเหตุ มีวันคืนที่หัวเราะร้องไห้ไปด้วยกัน เธอสั่งสอนหลายต่อหลายเรื่องให้กับผมด้วยไมตรี ความผูกพันแนบแน่น ที่สำคัญ เรารักกัน ผมรักเธอ และรักเธออย่างจริงใจ

ในเวลาที่ผมคิดว่าทำไมนะ ทำไม่ถึงไม่มีคนเข้าใจในสิ่งที่ผมทำและเป็นอยู่
แต่อย่างน้อยที่สุดผมก็ยังรู้สึกอบอุ่นในใจ
เพราะมีเธอคอยอยู่เคียงข้างเป็นกำลังใจ
เป็นกำลังใจหนึ่งเดียวที่ผมมี
นี่ไงความรัก -- สวยงามจริงๆ

จวบจนมาถึงวันที่เราจำเป็นต้องลาร้าง
เธอต้องไปในที่ที่เธอควรไปแล้ว หมดเวลา เราไปด้วยกันได้แค่นี้
มันเป็นความจำเป็นที่ลี้เลี่ยงไม่ได้ในความเป็นจริง
ความเป็นจริงที่ว่า แค่คำว่ารักที่มีนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป (คงต้องเข้าใจสินะ)
นึกย้อนกลับไปทีไร ผมก็หงุดหงิดตัวเองอยู่เหมือนกันกับเรื่องบางเรื่องที่น่าจะทำให้เธอได้ดีกว่าที่เคย แต่ป่วยการเปล่าเสียแล้ว พูดไปก็ไลฟ์บอย

อย่างที่รู้ ความเป็นจริงเจ็บปวดเสมอ
กำลังใจเดียวที่มีของผมจากไปแล้ว
หัวใจผมรวดร้าวแหลกสลายนับจากนั้น

………

กับวันนี้ — ปี 2011
เหมือนวันเวลามันหมุนวนเป็นวงกลมจริงๆ นั่นแหละ
เรากลับมาเดินผ่านจุดที่เราเริ่มต้นกันอีกครั้งหนึ่ง
ที่ลานหน้า Central World มีงานนิทรรศการภาพถ่ายชุด Portait of Asia ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานเทศกาล La Fete เหมือนเดิมอีกครั้ง เพราะปีที่แล้วงานเดียวกันนี้ไม่ได้จัดเพราะติดเรื่องกีฬาสีและคดีวางเพลิง

ภาพทุกภาพในนิทรรศการสวยงามดั่งเดิม
ทว่าวันนี้ความสัมพันธ์ของเราพังทลายลงไปสิ้นไม่มีชิ้นดี
ไม่ต่างอะไรเลยจากซากทะมึนของอาคารใหญ่โดนไฟไหม้ที่ปรากฎ
จะหลงเหลือก็แต่เพียงความทรงจำแสนสุขที่ไม่มีวันย้อนคืน

นานเท่าไหร่แล้วที่ความรู้สึกไม่เคยเข้มข้นขนาดนี้
เราเดินคู่กัน เธอมีเรื่องเล่าของเธอที่น่ายินดีมากมาย
มันทั้งตื้นตันดีใจและขมขื่นใจผสมปะปนไปด้วยน้ำตาจนยากจะแยก
ผมทำได้เพียงส่งยิ้มรับความเป็นไป สะกดอารมณ์เฮงซวยนั้นไว้แต่เพียงลำพัง
โทษที -- ถ้าเธอสังเกตเห็น มันคงเป็นยิ้มหแยๆ ที่ดูแย่เอามากๆ เลย

ที่ผ่านมาขอบคุณนะ ขอบคุณมาก
ขอบคุณที่เคยรักและเข้าใจผู้ชายแบบผม
เป็นไปตามเส้นทางของเธอเถิด
เพราะผมเองก็คงต้องเป็นไปตามเส้นทางของผมที่เหลืออยู่เช่นกัน
ก็ถ้าวันเวลามันหมุนเป็นวงกลมแล้วล่ะก็..

สักวันหนึ่งเราคงได้โคจรมาแลกเปลี่ยนชื่นชมภาพความความทรงจำชุดใหม่อันงดงามสดสวยของเรากันที่นี่อีกครั้ง

3/01/2011

Afternoon Tea


WOM เดือน 3 ฉบับเดือนมีนาคมออกแล้วเน่อ เล่มนี้ปกสวย ชอบ ^__^
หาหยิบกันได้ทั่วไปย่านสุขุมวิทดังเดิม หลักๆ เลยก็ Fuji Super ทั้ง 4 สาขา
เล่มนี้ทำเรื่อง Afternoon Tea ในโรงแรมหรูในกรุงเทพฯ
นายบอกให้ถ่ายออกมาให้เหมือนอารมณ์ดอกไม้บานยามบ่าย
นายใช้คำว่า "ฮานะซากะ" ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไงหรอก
ก็เลยพยายามถ่ายให้มันดูสว่างไสวเข้าไว้ก่อน
แล้วก็ท่องจำไว้ในใจว่า ดอกไม้บาน.. ดอกไม้บาน..

ตลอนๆ ถ่ายอยู่หลายต่อหลายที่
งานออกมาอยู่ในระดับน่าพอใจ (คิดว่านะ)
พร้อมๆ กับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นมาเกือบ 4 โล

(((( -__-"