5/30/2008

วับๆ WOM ๆ # 4


...ต่อไปเป็นข่าวสั้น

WOM เล่ม 4 ฉบับประจำเดือนมิถุนาฯ ออกแล้ว!
ซึ่งฉบับนี้ใช้ชื่อว่า WOM Café เพราะเกี่ยวกับร้านกาแฟ
เล่มนี้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมากมายหลายอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นจำนวนสมาชิกในทีม,
รูปแบบและแนวทางงาน Artwork ภายในเล่ม,
ความหลากหลายของเนื้อหา
รวมถึงจำนวนหน้าที่เพิ่มขึ้นจากผู้สนันสนุนอย่างเป็นทางการ

แต่มีอยู่หนึ่งสิ่งที่ยังเหมือนเดิมไม่มีการปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด
นั่นคือเงินเดือน T_T

จบข่าว...

1306ix รายงาน (ทั้งน้ำตา)

5/26/2008

เพียงลำพัง


"คิดถึงเมีย"
สติ๊กเกอร์สีสดปรากฎอยู่ระดับสายตาแนบติดอยู่ท้ายแท็กซี่คันข้างหน้าในค่ำที่ฉ่ำแฉะไปด้วยน้ำฝน ท่ามกลางยวดยานยนต์อีกมากมายรายล้อมนับสิบที่แน่นิ่งมาร่วมชั่วโมง บทเพลงลูกทุ่งทำนองเนิบช้าและเนื้อหาหงอยเหงาเศร้าสร้อยเกี่ยวกับการไกลบ้านห่างครอบครัวเข้ามาทำงานในบางกอกจากคลื่นวิทยุบรรเลงคลอเบาๆ เนิ่นนานในแท็กซี่คันหนึ่ง

ผมนั่งนิ่งอยู่นานพอกันในรถแท็กซี่คันที่ว่า
ข้อความ "คิดถึงเมีย" เด่นชัดเยื้องอยู่เบื้องหน้าผิดแผกแตกต่างไปจากสรรพสิ่งรอบๆ ตัวที่ออกจะพร่ามัว
คงไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าพี่คนขับเจ้าของรถแท็กซี่และข้อความคันหน้านั้นเขานึกหรือรู้สึกอย่างไรอยู่ในตอนนั้น ตอนที่เลือกข้อความนี้เพื่อแปะแหมะลงตรงท้ายรถ

อยากให้คนอ่าน (คันหลัง/อย่างผม) รู้หรือว่ากำลังคิดถึง, เตือนสติตัวเอง, หรือก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าแค่สติ๊กเกอร์หนึ่งแผ่นที่ติดไว้ให้มีสีสันท้ายรถ

สำหรับพี่เขานั้นยังไงไม่รู้, แต่เป็นผมเองที่ดันรู้สึกหม่นเศร้า แม้ไม่เชี่ยวชาญนักแต่ก็พอเข้าใจอยู่ว่าไอ้อาการคิดถึงที่เกิดจากความเหงาเป็นอย่างไร

การใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมุทำงานอย่างหนักในเมืองใหญ่เพื่อจุนเจือส่งเสียครอบครัวทางบ้านดูจะเป็นภาระหน้าที่ที่ต้องแลกกันกับความเปลี่ยวเหงาอยู่มากทีเดียว

บุกบั่นมุ่งมั่นทำงานเพียงลำพัง, เดินทางเพียงลำพัง, กินข้าวและเข้านอนเพียงลำพัง คงไม่แปลกหากใบหน้าของเมียจะปรากฎให้เห็นลางๆ บ้างในยามค่ำคืนที่เดียวดายอ้างว้างและเหน็บหนาว เช่นค่ำคืนนี้

จะเป็นไรไป หากจะคิดถึงลูกเมีย
วันเวลาแบบนี้คงทำได้ดีเพียงแต่แค่คิดถึง

หากเป็นเช่นนั้น - คงไม่ใช่แค่เพียงพี่เขาที่กำลังเหงาลำพัง เพราะถ้าลองมองเข้ามาในแท็กซี่คันหลังคันนี้ ตรงเบาะหลังด้านซ้ายจะเห็นชายหนุ่มวัยทำงานนั่งเหม่อลอยมองไปนอกกระจกรถที่กำลังเป็นฝ้าอันเกิดจากฝนฟ้าภายนอก ภายในใจกลัดกลุ้มรุ่มเร้า ในตาเครือไปด้วยน้ำที่ผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่น้ำฝน เพราะมันขุ่นและขมกว่า

ไอ้หนุ่มนั่นนั้นก็ดูคล้ายคลึงกับคนกำลังคิดถึงอยู่เหมือนกัน

5/15/2008

Days of Being Wild











"พวกเราคือปลาตัวเล็กๆ สวยงามในอ่างใบหนึ่ง ว่ายเลาะเลียบสายบัว ส่ายตาหาหนอนน้ำ แมลง แล้ววันหนึ่ง ใครไม่รู้หย่อนเครื่องตีน้ำลงในอ่าง หมุนน้ำให้เร็วจี๋ เราจะทานมันได้อย่างไร? เราต้องถลอกปอกเปิก เกล็ดกระจาย บอบช้ำ แล้วเราก็ตาย!

เรากำลังเร็วไปไหน? ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำ ผมจะบอก - เรากำลังเร็วไปตามตัณหาของวิทยาศาสตร์ คุณเชื่อผมไหม? วิทยาศาสตร์ได้คิดค้นหลายๆ สิ่งที่หาได้มีประโยชน์ใดแก่โลกใบนี้ หรือมีประโยชน์ แต่ไม่จำเป็น! ไม่ใช่ความจำเป็นของโลกใบนี้ แล้วทุนนั่นเองที่มองเห็นหนทางกอบโกยผลประโยชน์ ไปหยิบฉวยการคิดค้นอันเปล่าค่านั้นมาเป็นเครื่องมือ ทำให้มันสำคัญและจำเป็น เราจึงตกสู่แรงเหวี่ยงโดยไม่จำเป็น"

กนกพงศ์ สงสมพันธุ์

จดหมายถึง ขวัญยืน ลูกจันทร์
26 กันยายน 2546


.........

เคยเข้าไปอ่านข้อความด้านบนจากเว็บของคุณวินทร์ (www.winbookclub.com) เมื่อนานมาแล้ว - ชอบ - บันทึกเก็บไว้ - อยากให้ได้อ่านกัน - คิดว่าคงชอบ และคงได้คิดกัน - อย่างน้อยที่สุดอาจพอเข้าใจได้บ้างว่าการทนรอคอยอะไรสักอย่าง ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องอด - เสมอไป

5/04/2008

Selamat Datang


















วับๆ WOM ๆ # 3


วันนี้วันอาทิตย์
{ สะลึมสะลือตื่นมาราวแปดโมง
- เปิดทีวีดูดราก้อนบอล ดูมายี่สิบกว่าปีแล้วยังไม่จบสักที แต่ก็ยังหาเวลาดูอยู่ ตอนนี้ย้ายมาฉายช่องสามแล้ว
- ปิดทีวี, นอนต่อ
- ตื่นอีกครั้ง ครั้งนี้ตื่นเต็มตา, ล้างหน้าแปรงฟัน
- หอบเสื้อผ้าลงไปซัก โดยใช้บริการเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญด้านล้างของห้องเช่า สนนราคา 30 บาทต่อหนึ่งรอบปั่น
- กลับขึ้นห้องมาต้มน้ำร้อน กินกาแฟไปพลางอ่านหนังสือของพี่ชาติ กอบจิตติที่ยังอ่านค้างไว้ไปพลาง
- ลงไปเอาผ้าที่ซักขึ้นมาตากที่ระเบียง
- เปิดเพลงฟังจากเครื่องคอมพิวเตอร์ (ไม่มีเครื่องเสียง)
- ต้มมาม่ากินหนึ่งซอง เพราะเห็นว่าไหนๆ ก็ต้มน้ำแล้ว
- อาบน้ำเสียที
- ปิดคอมฯ, เปิดทีวี (อีกรอบ) ดู DVD เรื่อง "คนโดดกระชากมิติ" (Jumper) ที่ไปเช่ามาเมื่อวันก่อนดู
- สนุกดี, อยากทำได้แบบในหนัง จะโดดข้ามมิติไปไหนต่อไหนได้โดยไม่ต้องนั่งรถไป ประหยัดค่าโดยสารได้อีกโข
- โทรฯ ไปคุยกับแม่ที่บ้าน ได้ความว่าที่บ้าน (จันทบุรี) ฝนตกไม่หยุดมาสองวันแล้ว ต้องเก็บมังคุดกันไป ตากฝนกันไป แต่แม่บอกว่าไม่ได้ป่วยหรือเป็นไข้แต่อย่างใด สบายใจได้ ปีนี้พ่อได้คนงานจากบุรีรัมย์มาช่วยหลายคน

- ออกไปเตะบอลกับเพื่อนๆ ซึ่งเป็นกิจกรรมหลักสำหรับเย็นวันอาทิตย์ นี่ก็ก้าวสู่ปีที่ 7 อย่างมั่นใจเข้าไปให้แล้ว เคยคุยกับเพื่อนๆ ในทีม "เพื่อนโจ้ FC" (ชื่อทีมของเรา) เหมือนกันว่าคงจะเตะกันไปจนแก่ สักอายุ 40 - 50 (ปี) ถ้าสังขารยังเอื้อ และลูกทีมยังไม่ชิงล้มหายตายจากกันเสียก่อน
- ระหว่างทางไปสนามแวะ Fuji Supermarket ตรงสุขุมวิท 33/1 วาง WOM ฉบับที่ 3 ประจำเดือนพฤษภาคม เล่มนี้หลายๆ อย่างเริ่มลงตัวขึ้นแล้ว เป็นนิมิตหมายที่ดี
- ฝนโปรยปรายลงมานิดหน่อย กำลังเย็นสบาย ช่วยผ่อนคลายความร้อนไปเยอะ
- หลังเสียงบรรเลงเพลงชาติตอนเย็นเราก็ได้เวลาบรรเลงเพลงแข้ง
- และก็เหงื่อไหลไคลย้อยตามๆ กันไป
- ... (เหนื่อย)

- ระหว่างกลับห้องเช่าก็แวะทานข้าวต้มร้านประจำเสียหน่อย
- อิ่มและอร่อย
- เพิ่งรู้ว่ามาม่าไม่ช่วยอะไรเลย (จะฮาก็ได้นะครับ)
- กลับถึงห้องพักก็ชำระล้างร่างกายให้เรียบร้อย กันเน่า
- สำรวจผ้าที่ตากไว้เมื่อเช้ายังไม่แห้งดี คงเพราะฝนเมื่อช่วงเย็น เลยยังไม่ได้เก็บ- ต้องตากต่อ
- หลังจากสำรวจผ้าก็มาสำรวจร่างกาย บอบช้ำกลับมาตามเคย รอบนี้นิ้วนางกับนิ้วกลางข้างซ้ายซ้นเพราะล้มผิดท่า อาทิตย์ที่แล้วก็หัวเข่าข้างซ้ายถลอก
- ทาถูๆ
- เปิดคอมฯ จัดการกับบล้อก (1306ix) นิดหน่อย เตรียมรูปที่เหลือจากทริปปีนังมาจ่อคิวโพสแปะไว้ก่อน โดยจะใช้ชื่อว่า "Selamat Datang" ซึ่งเป็นชุดต่อของ "Hey George!" (โปรดติดตาม)
- นอนอ่านหนังสือเล่มเมื่อเช้าต่อ
- ชักเริ่มง่วง
- ... (อาการมันแบบว่าจวนจะหลับแหล่ มิหลับแหล่)
- นอนดีกว่า เพราะคิดได้ว่า }

พรุ่งนี้วันจันทร์