11/26/2010

สองคนของหาย

ชิบหายแล้วไง!
ความซวยมาเยือนทันทีที่เราตื่นสาย
ตั๋วรถบัสที่เราซื้อล่วงหน้าไว้ระบุเวลาสิบเอ็ดโมง
แต่เราดัน (เสือก) ตื่นกันสิบเอ็ดโมง แล้วมันจะไปทันห่ะอะไรล่ะครับพี่น้องครับ
ฟันไม่ต้องแปรง น้ำไม่ต้องอาบ เราเก็บของยัดใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วแล้วก็วิ่งหน้าตั้งไปเรียกแท็กซี่คันแรกที่เจอให้ไปสถานีขนส่งมะละกา

สิบเอ็ดโมงสี่สิบห้า เรามาถึงขนส่งฯ ตรงดิ่งไปช่องขายตั๋วเพื่อพยายามต่อรองขอเลื่อนเป็นรถเที่ยวถัดไปคือเที่ยวเที่ยง โดยอ้างไปว่าท้องเสีย
การเจรจาต่อรองไม่เป็นผล ซึ่งเราก็ทำใจไว้ล่วงหน้าไว้แล้วว่าต้องตีตั๋วใหม่ ใจจึงไม่เจ็บนัก ไม่เป็นไร ซื้อก็ซื้อ เพราะจากมะละกาไปสนามบินสิงคโปร์จะใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงเศษๆ เราต้องไปเช็กอินให้ทันขึ้นเครื่องตอนหกโมงครึ่ง จึงจำเป็น (และจำใจ) ต้องยอมจ่ายอีกครั้ง เพราะถ้าไปเที่ยวนี้เราก็พอมีเวลาเผื่อเหลือเผื่อขาดจากที่พลาดไป ยังพอที่จะทำอะไรชิลล์ๆ ทิ้งท้ายที่สิงคโปร์ได้แบบไม่ฉุกละหุกเหมือนเมื่อเช้า

รถเที่ยวเที่ยงแล่นออกจากขนส่งมาสักพัก เราเบาใจขึ้นมาอีกโข แม้จะต้องจ่ายซ้ำซ้อนกับค่าตั๋ว ช้าไปจากกำหนดการที่วางไว้หนึ่งชั่วโมง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่พอรับได้ ถือเสียว่าเป็นบทเรียน ว่าไปเที่ยวต่างบ้านต่างเมืองอย่าริตื่นสาย

“ขอดูรูปที่ถ่ายไว้หน่อยสิ”
อายูมีเอ่ยขอยืมกล้องผมเพื่อดูรูปที่ถ่ายๆ ไว้ที่นี่
“อยู่ข้างล่างน่ะ” ผมบุ้ยคางชี้ไปที่ปลายเท้าตรงเบาะที่เธอนั่ง ทอดสายตาชื่นชมวิวทิวทัศน์ริมข้างทาง ลอยล่องในอารมณ์ ผมพริ้มตาบอกลามะละกา
“ไม่เห็นมี” เธอว่า

........
.....

เหี้ยแล้ว!
แล้วความซวยซ้ำซวยซ้อนก็เกิดขึ้นจนได้ ไม่มี! มันไม่ได้อยู่ที่นี่!

ผมพยามแทบพลิกรถบัสคันที่เรานั่งมาเพื่อควานหากระเป๋ากล้องของผม แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เจอ ให้ตาย! มันสำคัญยิ่งกว่าสำคัญเพราะในนั้นมันมีทั้งกระเป๋าสตางค์ หนังสือเดินทาง และกล้องถ่ายรูปอันเป็นซึ่งเครื่องมือทำมาหากินของผม

เราตัดสินใจสละรถกลางทางเพื่อโบกรถกลับไปหากระเป๋าที่ขนส่งฯ เผื่อว่ามันจะยังอยู่ที่นั่น และหวังลึกๆ อยู่ในใจว่าจะมีคนใจดีหรือเจ้าหน้าที่เก็บไว้ให้เรา
อีกอย่างเราต้องแข่งกับเวลาด้วย เพราะเส้นตายของเราคือหกโมงครึ่งที่สนามบินชางฮี ไม่อย่างนั้นเรื่องราวจะบานปลายไปกว่านี้หลายเท่า และหายนะจะบังเกิดขึ้นกับเราแน่นอน

การตื่นสายส่งผลมากมายเหลือเกิน

กลับมาขนส่งฯ อีกครั้งประมาณบ่ายโมงเศษ
ปฏิบัติการค้นหาครั้งสำคัญอย่างยิ่งยวดจึงเกิดขึ้น สายตาผมเหลือบมองเที่ยวรถไปสิงคโปร์เที่ยวถัดไป— บ่ายสองครึ่ง
ผมจองตั๋วไว้ในใจ โอกาสสุดท้ายจริงๆ ของเรา

ไม่นานนักก็มีใครคนหนึ่งมาสะกิดไหล่ผมจากทางด้านหลัง พิจารณาดูจากการแต่งกายพี่เขาดูคล้ายเจ้าหน้าที่ ตามความน่าจะเป็นแล้ว ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ ผมมองไม่เห็นแนวโน้มที่ความซวยจะเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สาม แต่ความจริงในใจก็คือ..
ขอร้องเถอะ! แค่สองครั้งหัวใจผมก็จะวายอยู่แล้ว ถ้าพระเจ้ามีอยู่และจะไม่เห็นแก่ผมในครั้งนี้ ก็ขอให้พระองค์ทรงเมตตาต่อช่องแคบมะละกาด้วยเถิด

ผมส่งยิ้มฝื่นๆ ให้ไปและเริ่มมีน้ำรื้นขึ้นในตา
ภาวนาให้พี่เขามาดี

11/16/2010

13 going on 30


ลาก่อนเลข 2
สวัสดี เลข 3
และแม้นหากจะมีใครกรุณาไถ่ถามว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง
คำตอบอยู่ในภาพประกอบ

11/07/2010

Taxi Driver

ขับมาได้สักพักเธอก็ร้องบอกให้จอดเพราะถึงจุดที่เธอจะลงแล้ว
ผมจึงชะลอความเร็วลง จอดรถ กดมิเตอร์ แล้วแจ้งราคาให้เธอทราบ
แทนเงิน เธอจ่ายค่าโดยสารผมด้วยชิโร่ย โค่ยอิบิโตะ (Shiroi Koibito) สุดยอดคุ้กกี้สอดไส้ไวท์ช็อกโกแลตจากฮอกไกโด
ผมอดอมยิ้มไม่ได้ด้วยที่ว่าเอ็นดูความน่ารักที่เกิดขึ้น
จึงรับมาด้วยรอยยิ้มแล้วตอบเธอไปว่าไม่มีปัญหา
แต่ไหนแต่ไรผมก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องค่าตอบแทนอยู่แล้ว
นั่นคงเป็นสาเหตุหนึ่งกระมังที่ผมยังคงเช่าแท็กซี่เฮียโจ้ขับอยู่แบบนี้

“ไปก่อนนะคะ”
เธอเอ่ยออกมาพร้อมกับเปิดประตูรถออกไป
ผมยิ้มส่งเธอผ่านทางกระจกมองหลัง แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้สังเกตเห็น
เธอปิดประตูรถ แล้วออกเดิน

ผมฉีกซองคุ๊กกี้ที่เธอให้ จัดการมันในทันที เจ้าคุ้กกี้แสนอร่อยนั่น มันช่างหวานกลมกล่อมดีจริงๆ
“อุม่ายย” (Umai)
ผมหลับตาลง ร้องเสียงหลง ดีดดิ้นพล่านอยู่หลังพวงมาลัย

แล้วเสร็จจากคุ้กกี้ ผมสงบลง และเริ่มออกรถเพื่อวิ่งหาผู้โดยสารต่อ
ขณะกำลังทำรอบเครื่องยนต์เพื่อเปลี่ยนเป็นเกียร์สูง ผมเอื้อมเปิดลิ้นชักหน้ารถหยิบเอาม้วนเทปเพลงเก่าแก่ออกมายัดใส่เครื่องเล่นฟังเพื่อทำลายความเงียบ
ไม่ต้องห่วงเลยว่าผมจะหยิบผิดม้วน เพราะมันมีคาสเซ็ตอยู่แค่ม้วนเดียวในนั้น
ผมเคยคิดอยู่เหมือนกันว่าจะเปลี่ยนเครื่องเล่นเป็นรุ่นที่สามารถเล่นแผ่นซีดีได้
แต่ก็ประวิงเวลาเรื่อยมา ด้วยเห็นว่าส่วนใหญ่นั้นก็ฟังวิทยุเอา

เสียงเพลงค่อยๆ ดังขึ้น ความเงียนงันพลันมลาย

ในความอบอุ่นอันลึกซึ้ง ในห้วงคำนึงรู้คิดถึงกัน
คือการจำยอมยอมลาร้าง ไปตามเส้นทางเพื่อหวังพบกัน
พูดคุยทักทายให้กำลังใจ
ปลอบโยนและห่วงใย คือความหวังดี
ทุกๆ สิ่งที่มีซึ้งใจ อบอุ่นใจ


“อบอุ่นใจ”
ผมร้องตามด้วยความอินในท่อนท้าย
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ท่วงทำนองของบทเพลงยังคงบรรเลงต่อเนื่อง
รถยังคงแล่นต่อไป มือจับพวงมาลัย ผมดิ่งจม...

“ปัง!!”
ดังสนั่นหวั่นไหว!

ในที่สุดเสียงที่ว่านั้นก็ดังขึ้นอีกจนได้ สิ่ง/เสียงที่ผมสังหรณ์
ภาวนาเหลือเกินว่าให้กัมปนาทแห่งเสียงนั้นเป็นเสียงของยาง
แต่ความจริงก็ตอกย้ำกับผมอย่างแน่นหนักว่าไม่ใช่
รักลั่นขึ้นอีกครั้งแล้วจริงๆ เหมือนเมื่อหลายปีก่อน
ประกันชั้นสามที่มีอยู่นั้นก็ไม่ได้ครอบคลุมในเรื่องนี้ด้วย
เห็นทีว่าคงจะช่วยอะไรไม่ได้เสียแล้ว
แต่ก็ถือว่าโชคยังดีที่ภายในรถตอนนี้ไม่มีผู้โดยสารอื่นใด
จึงไม่ต้องเป็นห่วงว่าใครจะบาดเจ็บ

นอกจากผม

11/01/2010

สวนผึ้งกับเพื่อน




















ชีวิตความคิดความอ่านของคนเรานั้นควรจะเปลี่ยนไปตามอายุนะครับ
มีประสบการณ์มากขึ้น มีความเข้าใจโลก เข้าใจชีวิตมากขึ้น
มีความรู้จักตัวเองมากขึ้น รู้จักความต้องการของตนเองมากขึ้น
รู้ว่าชีวิตตัวเองอยู่ตรงไหน และจะอยู่ให้มีความสุขความสงบได้อย่างไร
รู้ว่าความทุกข์ของตัวเองคืออะไร
และมองเห็นหนทางที่จะอยู่กับความทุกข์อย่างมีความสุขได้อย่างไร
ชีวิตมนุษย์เป็นทุกข์นะครับ นั่งอยู่เฉยๆ ความทุกข์ก็มา
แต่ความสุขนั้นเป็นเรื่องที่จะต้องค้นหาและคิดค้น หาหนทางที่จะไปถึงให้พบ
ฟังดูเป็นปรัชญาอะไรยังไงชอบกล

วาณิช จรุงกิจอนันต์

.......

นานทีปีหนได้หลบลี้หนีกรุงไปหัวเราะเต็มๆ เสียงกับเพื่อนๆ (และหลานๆ)
ก็สนุกสนานดีเนาะ

ว่าแล้วก็ยกมือซ้ายขึ้นมาระดับคาง พับหักศอกเข้าหาตัววางขนานกับพื้น
แล้วใช้ปลายนิ้วอีกมือนึงแทงเสยขึ้นไปตรงตำแหน่งข้อมือซ้ายในแนวตั้ง
จะให้สะให้สวยอย่าลืมแบมือและหนีบนิ้วทั้ง 5 ให้ติดกันไว้ด้วยล่ะ

T

ขอเวลานอกนะ.. ความทุกข์