12/27/2008

Fa!!! แล้ว Fa!!! เล่า

...ความเดิมตอนที่แล้ว
http://1306ix.blogspot.com/2008/12/fa.html

“ยังไม่บาน”
เราล้มลุกคลุกฝุ่นกันขึ้นมาจนถึงจุดหมายเพื่อจะได้ยินคำว่า “ยังไม่บาน” เป็นคำตอบสุดท้ายจากผู้เชี่ยวชาญด้านบน ทั้งๆ ที่ก่อนจะขึ้นมาเราก็ได้สอบถามมาแล้วจากคนข้างบนนี้เช่นกัน แต่ตอนนั้นดันบอกว่าตามที่ดูจากวัน-เดือน-ปีตกฟากของต้นพญาเสือโคร่งแล้วเส้นชะตานั้นโคจรหมุนรอบดาวศุกร์ 2 รอบ ก่อนจะวกกลับมาบานในวันเสาร์นี้แน่นอน Confirm! (เดี๋ยวนี้คำนี้เชื่อไม่ค่อยได้แฮะ)
“คิดว่าคงบานช่วงปีใหม่ ไว้มากันใหม่สิ”
ผู้เชี่ยวชาญแค่นหัวเราะให้กำลังใจเรา

ยอมรับว่าเสียดายอยู่ แต่ไม่ถึงกับเสียใจ
เพราะจากที่ถ่ายทอดสดดงพญาเสือโคร่งด้วยตาเปล่าตอนที่ยังไม่บานแล้วยังสวยขนาด ถ้าตอนที่ดอกมันผลิบานสะพรั่งพรูออกมาอวดสีชมพูขึ้นครึ้มคลุมทั้งดงสุดลูกหูลูกตาอย่างที่จินตนาการเอานะ
ซึเก้ง!!!
(ขั้นสุดของซึโก้ย ที่แปลว่า สุดยอด ในภาษาญี่ปุ่น เรียงลำดับความสุดยอดได้ดังนี้ ซึโก้ย- ซึเก้- และซึเก้ง!) เผลอๆ จะแจ่มกว่าซากุระที่ญี่ปุ่นเสียอีก ผมงี้ยังอดขนลุกไม่ได้
“หนาวหรือคะคุณพี่” คุณน้องได้ทีจึงแซวขึ้นมา
“ใช่เวลามั้ยเนี่ย” ผมสวนกลับ

ใกล้ๆ กันกับที่เรายืนอยู่นั้นมีเก้งกวางหนึ่งนาย (ศัพท์เฉพาะทาง-- กรุณาไถ่ถามความหมายเอาเองจากกลุ่มเสื้อม่วง) หน้าตาเน่ามากกก คุณเธอยืนเต้นจังหวะละตินผสมแซมบักเว้ดุ๊กดิ๊กๆ ส่ายเอวไปมา แล้วก็เงยหน้ามองฟ้าพร้อมกับหลั่งเอนโดฟินเรี่ยราดเต็มถนน สักพักคุณเธอก็ตะโกนออกมาด้วยเสียงค่อนข้างดังว่า
“โว้ย! ประเทศไทยสวยจัง!”
(นี่เป็นกรณีตัวอย่างของผู้คนแปลกๆ ที่มักจะมีให้พบเห็นกันได้บ่อยๆ ที่เชียงใหม่)
เราเห็นอะไรแบบนั้นเข้าก็อดที่จะขนลุกซู่ (ที่ไม่ได้เกิดเพราะอากาศหนาว) แล้วหันหน้ามาสบตากันด้วยใบหน้าที่เหยเก และพูดออกมาเกือบจะพร้อมกันบ้างว่า
“เป็นไรมากป๊ะเนี่ยย”

ขาลง
นักเดินทางที่ดีย่อมไม่ย้อนกลับเส้นทางเดิม
ใครบางคนว่าไว้อย่างนั้น
ผมเองก็อยากจะโชว์การเป็นนักเดินทางที่ดีกับคุณน้องเขา (จากที่พาไปล้มรอบสองตรงขาขึ้นมา ฟอร์มที่พอมีอยู่ก็ป่นปี้ย่อยยับไม่มีชิ้นดี) จึงจัดสรรเส้นทางลงใหม่ให้ โดยเราจะลงเขากันในอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งสามารถไปโผล่แถวๆ ห้วยตึงเฒ่าได้เลย น่าสนใจกว่าย้อนกลับทางเดิมอย่างมากมาย

เราแวะพักที่ร้านกาแฟอาราปิการ้านเดียวที่สร้างขึ้นมาแบบง่ายๆ โดดๆ ไม่รบกวนใคร และก็คงไม่มีใครแถวนั้นให้รบกวนเช่นกัน เพื่อเพิ่มพลังในการขับขี่
อืมม์...กาแฟบนนี้รสชาติดีไม่หยอก
แต่คุณน้องเธอดันสั่งมาม่าคัพมาโซ้ยซะงั้น
เดาว่าเธอคงจะเหนื่อยจากกายกรรมที่ทำการแสดงตอนขาขึ้นมา^^
ก่อนออกเดินทางต่อ เราก็ไม่ลืมที่จะสอบถามความมั่นใจจากลุงเจ้าของร้าน
“โอ้ย! สบายยยยยยยย” ลุงแกลากเสียงเน้นว่าสบายจริงๆ
สร้างความมั่นใจในเส้นทางที่เรากำลังจะไปต่อได้มากโข

ใช่แล้ว- นักเดินทางที่ดีย่อมไม่ย้อนกลับเส้นทางเดิม
เราออกเดินทางต่อด้วยอาการกระหยิ่มยิ้มย่องโดยไม่ได้เอะใจสักแอะเลยว่า เท่าที่เห็นรถราต่างๆ ที่ขี่สวนผ่านเราไปนั้นมีแต่รถวิ่งกลับเส้นทางเดิม ซึ่งเป็นรถที่เราพอคุ้นตาในช่วงขาขึ้นมาแทบทั้งนั้น

“$#@!!!!^%%!!!”
ผมควรจะสบถใส่ใครดี
สบายบ้าไรเนี่ย! ทางโครตลำบากเลย!
ผมไม่ได้ขี่มอเตอร์ไซส์ลงเขาป็นอาชีพนะ (โว้ย) ครับลุง!
ไม่มีทางที่เราจะลงไปถึงข้างล่างได้โดยสวัสดิภาพอย่างแน่นอน
ผม Confirm บ้าง!
เอาเป็นว่าคุณลองมโนภาพเอาดูว่าทางแย่ๆ ที่พอจะนึกออกมันเป็นอย่างไรบ้าง ผมต่อให้เลยว่ามันแย่กว่า 5 เท่า!
“นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคุยทับกันนะคุณพี่” คุณน้องทักขึ้นมา ขณะที่มือทั้งสองก็เกร็งจิกบ่าผมแน่นได้อีก ด้วยกลัวรถล้มและหลุดตกเหว

ทางขาลงนั้นมันจะคล้ายๆ เป็นเนินสองข้างขนานกันไปความกว้างหน้าตัดประมาณหนึ่งคืบ ตรงกลางและขอบๆ เป็นร่องน้ำลึกมากกกก และเต็มไปด้วยหินขนาดใหญ่ บางช่วงก็เป็นถนน บางช่วงก็เป็นทางดิน บางช่วงก็เป็นทางหิน บางช่วงก็เป็นทางน้ำตัดผ่าน ที่เลวร้ายที่สุดคือบางช่วงก็ไม่มีทาง!
“$#@!!!!^%%!!!”
ผมสบถและบ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้งที่ต้องเกร็งแขนบังคับฝืนคอรถให้อยู่ในเส้นทางที่กว้างเพียงหนึ่งคืบนั้นตลอดทาง จนรู้สึกถึงการเต้นของกล้ามเนื้อปุดๆ

2 ชั่วโมงผ่านไป...

เสียงเต้นของกล้ามแขนผมยังดังอย่างต่อเนื่อง แต่แผ่วลง (มันคงเต้นจนเหนื่อย) และเรายังคงทุลักทุเลกับขาลงอยู่ โดยจอดพักเป็นช่วงๆ
ยังดีที่ยังพอเจอรถสวนขึ้นไป 2 -3 คันให้อุ่นใจได้บ้างว่ามาถูกทาง โดยแต่ละคันนั้นในช่วงที่ขับสวนขึ้นไปก็เหมือนจะมองเราทั้งสองแบบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่ามันจะเก๋าไปไหนกัน ที่มาลงในเส้นทางที่เขาไม่ลงกันเนี่ย
และถ้าเปิดโอกาสให้พูดอะไรสักอย่างกับเราได้นะ ผมมั่นใจได้เลยว่าจะต้องเจอกับประโยคเดิม
“เป็นไรมากป๊ะเนี่ยย”

.........

R--U--OK!?
แล้วเราก็ลงถึงพื้นราบอย่างสะบักสะบอม
บ่าผมเป็นแผลเหวอะหวะและโชกไปด้วยเลือดจากการจิกของคุณน้อง babyshampoo แต่ไม่เป็นไร
ผมผ่านมาเย้อออะ เจ็บมาก็เย้อออะ และผมอยากให้ทุกคนสู้เหมือนผม T_T

เราค่อยๆ ขี่ต่อมาอีกไม่นานก็ถึงห้วยตึงเฒ่า
(ฟุ้งฝันนั้นสภาพดูไม่จืดทีเดียว ทั้งบังโคลนหน้าข้างซ้ายและกระจกมองข้างขวาที่แตกละเอียด ตระกร้าหน้าที่บุบเบี้ยว เบรกที่ดูเหมือนจะหมดสภาพ ไม่พักต้องพูดถึงรอยขีดข่วนอีกนับไม่ถ้วน)
ที่นี่สวยมากในเวลาเย็นย่ำ ลมพัดเอื่อยๆ เห็นทะเลสาบเป็นคลื่น แสงอาทิตย์อ่อนๆ อาบมาจากทางหลังเขา ฉาบทะเลสาบยามเย็นเห็นเป็นสีส้มอมชมพูดูแล้วสวยงามจนเข้าขั้นมหัศจรรย์

แล้วสัจธรรมบางอย่างก็พลันบังเกิดขึ้นกับเราที่นั่น...

เราล้มเป็นครั้งที่ 3 ของวันและตกลงไปในหลุม
ทว่าครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุแต่อย่างใด
หากแต่เป็นการล้มที่เราตั้งใจ และเลือกที่จะปลดปล่อยทั้งกายใจให้ปลิดปลิวล่องลอยละลิ่ว และค่อยๆ ร่วงหล่นช้าๆ อย่างงดงามลงในหลุมที่ว่าด้วยใบหน้าแปดเปื้อนด้วยรอยยิ้มพร้อมๆ กัน

...หลุมที่มีชื่อหลุมเขียนไว้ลางๆ แต่ชัดเจนในใจว่า “ฮักเจียงใหม่”

“Hey! Are You OK!!??”
“Oh! We Are Falling, But We Are OK แหละ”

12/26/2008

Fa!!!

มันเริ่มจากเรื่องที่คุณน้อง babyshampoo เล่าให้ผมฟังบนรถทัวร์ขณะนั่งขึ้นเหนือว่าวันก่อนนั้นคุณน้องเธอไปถ่ายรูปเล่นอย่างเมามันกับเพื่อนจนเกือบไปแตะเส้นขีดของความบ้าคลั่ง โดยมีสิ่งเร้าเป็นต้นคริสต์มาสใหญ่ยักษ์ที่โผล่พรวดขึ้นมาภายในชั่วข้ามคืนแบบนอกเหนือฤดูกาลแถวที่ทำงานใจกลางเมือง
พอถ่ายเล่นไปสักพักก็มีผู้ชายฝรั่งอายุคราวพ่อเดินอาดเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่บ่งบอกอาการใดนั้นก็ยากที่จะคาดเดา
“Are You OK!?”
“!!??”
คุณน้องและเพื่อนค่อนข้างงู (งูทั้งค่ง) และนึกทดไว้ในใจว่า “Are You OK!? อะไรของมันวะ” ในตอนนั้นจนถึงตอนนี้
และแจงให้ผมฟังต่อว่าตาลุงฝรั่งนั่นแกถามซ้ำประมาณ 2-3 รอบ
ด้วยความงงกันอย่างต่อเนื่อง คุณน้องเธอจึงสอบถามผมว่ามันหมายความว่าจะใด (คงคิดว่าผมจะสามารถไขข้อข้องใจนั้นได้)
ด้วยความที่คร่ำครึ เอ้ย! คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงภาษาปะกิตมาพอสมควร จึงโชว์ภูมิความรู้ที่มีแปลให้คุณน้องเธอฟัง
“มันก็หมายควาย (หมายความว่ามีความหมายควายๆ) ว่า ...เป็นไรมากป๊ะเนี่ยย ไอ้ที่คุณน้องกับเพื่อนไปถ่ายรูปเล่นกับต้นคริสต์มาสนั่นน่ะ เป็นอะไรมากอ๊ะป่าว”

แต่จะบ้าหรือ- คนไม่รู้จักมักจี่กันจะเดินเข้ามาพูดอะไรแบบนั้นกับคนที่เขากำลังเมามันหรรษากัน
ใจผมเองก็ยังไม่เชื่อคำตอบที่บอกกันคุณน้องเธอไป ก็แค่แปลไปตามเนื้อผ้า
เอ๊ะ! หรือไอ้คุณตาลุงฝรั่งนั่นจะเป็นห่วงสมรรถนะในการขับขี่ของคุณน้องประมาณว่า “เมาไม่ขับ” เพราะดูจากอาการเมามันในการถ่ายรูปเล่นของคุณน้องเธอ จึงออกโรงเตือนเสียก่อนล่วงหน้า

ไม่มีใครล่วงรู้... เหอๆ ๆ ...

ฟุ้งฝันในบ่ายวันเสาร์
มาแอ่วเจียงใหม่ก็บ่อยครั้ง แต่ละครั้งนั้นก็ไม่เคยจำเจซ้ำซาก เจียงใหม่มีเรื่องราวและสถานที่รวมถึงผู้คนแปลกๆ ใหม่ๆ ผุดโผล่ขึ้นมาอยู่เสมอ ผมจึงไม่เคยเบื่อเจียงใหม่เลยสักที และที่ขึ้นมารอบนี้นั้น เราตั้งใจจะขึ้นไปชื่มชมความงามของ “ดอกพญาเสือโคร่ง” หรือที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในชื่อของ “ซากุระเมืองไทย” กับเส้นทางที่จะไปบ้านม้งขุนช้างเฆี่ยน โดยเส้นทางนี้นั้นเราจะเห็นกันแบบเต็มๆ เป็นดง (ไม่ใช่เป็นวงนะ นั่นเกลื้อน)
เราตัดสินใจเช่ารถมอร์เตอร์ไซส์และขี่ขึ้นไปกันด้วยไอเดียระห่ำของคุณน้องเธอ และจิตวิณญาณนักซิ่ง (จักรยาน) ที่สิงสู่อยู่ในตัวผม

พี่ที่ร้านเช่ารถแกถามเราว่ารถที่เหลือนั้นมียี่ห้อ “wave” กับ “dream” ให้เลือกเอาว่าจะเอายี่ห้อไหน
“wave” กับ “dream” ถามมาได้จะเอาคันไหน?
ขี่ขึ้นดอยแบบนี้มันต้อง “wave” สิคร้าบบ! (รู้ใช่ไหมว่าผมเล่นมุข)

เราเช่าดรีมเกียร์ธรรมดาเพื่อจะได้รู้สึกอุ่นใจนิดๆ ว่าแรงแน่ๆ โดยผมตั้งชื่อให้มันว่า “ฟุ้งฝัน” ใจกะว่าจะให้เจ้าฟุ้งฝันคันนี้แหละ ช่วยพาเราฝ่าฟันเส้นทางอันเลี้ยวลดคดเคี้ยวน้ำเงี้ยวเลี้ยวโค้งที่สูงชันขึ้นไปโฉบเฉี่ยวเที่ยวเล่นกันข้างบนดอย

แว้น... แว้น...
เราสวมบทบาทเด็กแว้นใจเริงร่าขี่ขึ้นดอยโดยคุณน้อง babyshampoo อาสาขี่ให้เป็นมือแรก (ผมมารู้เอาภายหลังกลางทางว่าเป็น “ครั้งแรก” ด้วย O_O)

แว้น... แว้น...
เรากำลังขี่ขึ้นดอยด้วยสายตาเป็นประกายระยิบระยับ****

1- 2- Fall
ล้มเพียงครั้งถือเป็นครู
หนที่สองพอถูไถให้อภัย
แต่นี่ซัดไปสาม!!!
มีอย่างที่ไหนรถล้มวันเดียว 3 รอบ!

ล้มรอบแรกจัดให้เบาะๆ ก่อนโดยคุณน้อง babyshampoo ตรงช่วงโค้งด้านล่างทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ ตรงนั้นป็นช่วงโค้งขึ้นเนินซึ่งเราล้มตอนที่ชะลอเพื่อจะจอดพักแต่เสียหลักกันนิดหน่อย
ไม่มีใครบาดเจ็บนอกจากฟุ้งฝันที่มีรอยขีดข่วนเล็กน้อย แต่...

ก่อนไอ้การล้มเบาะๆ ครั้งแรกนั้นคุณน้องเธอเรียกน้ำย่อยให้ก่อนแล้วโดยการไป “แหกโค้ง” ตรงโค้งสุดท้ายก่อนขึ้นพระธาตุฯ
โค้งนั้นเป็นโค้งเลี้ยวซ้ายหักศอกดังกร๊อบเหมือนในหนังต้มยำกุ้ง หากใครทำความเร็วมากเกินไปมีสิทธิ์แหกโค้งเอาได้ง่ายๆ เลย ถ้าขี่รถไม่แข็งพอ

คุณน้องเธอก็แสดงเป็นตัวอย่างให้เห็นภาพกันจะๆ จากที่อัดอู้กันขึ้นมาจากข้างล่าง พอเจอโค้งนี้เข้าไปก็แหกสิครับ เราแหกและแหวกว่ายข้ามโค้งซ้ายที่ว่าจากริมซ้ายสุดไปริมขวาสุด!
แม่เจ้า! ดีนะที่ไม่มีรถสวนมา
หัวใจผมงี้หล่นไปอยู่ตีนดอย เลยตาตุ่มไปเยอออะ

จากนั้นด้วยความเป็นห่วงในชีวิต (ของตัวเอง) และทรัพย์สิน (ที่เช่ามา) ผมจึงแปะมือเปลี่ยนมาขี่ให้แทนในเส้นทางช่วงที่เหลือ

ว่ากันว่าเส้นทางสู่การเป็น The Star ไม่เคยราบเรียบฉันใด
เส้นทางสู่บ้านม้งขุนช้างเฆี่ยนนั้นไม่ราบเรียบกว่าเยอะ!!!

เส้นทางช่วงขาขึ้นไปบ้านม้งขุนช้างเฆี่ยนนั้นค่อนข้างชันและแค้บ แคบ รถสวนกันไม่ได้และสองข้างทางเป็นร่อง มีป้ายบอกให้บีบแตรส่งเสียงบอกตำแหน่งว่ามีรถวิ่งอยู่ในทุกโค้ง เพื่อการจราจรที่ปลอดภัย

เราขี่กันมาเรื่อยๆ จนถึงโค้งเกิดเหตุ...
โอ๊ะ! จู่ๆ ก็มีรถกระบะโผล่พรวดมาเงียบๆ พุ่งผ่านด้านข้างเราไปอย่างฉิวเฉียดและเลี้ยวลงเนินไปอย่างรวดเร็วเหมือนเป็นเรื่องปกติ
แต่ไอ้เหตุการณ์ปกติของพี่กระบะเขานั้นส่งผลกระทบมายังผมอย่างจัง ซึ่งกำลังขี่เลี้ยวสวนกับพี่แกขึ้นเนินอย่างทุลักทุเลตรงโค้งนั้นที่ค่อนข้างชัน จนประครองรถไว้ไม่อยู่
โครม! เราล้มกันอีกครั้ง
ฟุ้งฝันหน้าทิ่มลงร่องข้างๆ อย่างสวยงาม
แต่มีบางอย่างสวยงามกว่าแว้บข้ามหัวผมไป...

อ้าา... คุณน้อง babyshampoo นั่นเอง
เธอนึกสนุกอะไรขึ้นมาตอนนี้ก็ไม่ทราบ โอลิมปิกพึ่งปิดฉากไป แต่เธอกลับเปิดการแสดงยิมนาสติกกระโดดลอยข้ามหัวผมไปโดยใช้มือทั้งสองข้างแตะหลังผมอย่างแผ่วเบาเพื่อใช้ทำการส่งตัวให้ขึ้นไปลอยเคว้งคว้างม้วนตัวติ้วๆ ๆ ๆ ตีลังกาหลังซัมเมอซอลท์สามตลบและใช้มือทั้งสองลงยันพื้น (แทนที่จะเป็นขา!) กางขาออกและชี้ขึ้นฟ้า (แทนที่จะเป็นมือ!) หยุดอยู่พักหนึ่งอย่างสวยงามประมาณ 4 วินาที จนบรรดากระรอกกระแตแถวนั้นต้องหยุดหากินเพื่อมายกป้ายคะแนน 9-9-9-9-9-9-9-9-9-9 ขึ้นพึ่บพั่บรอบบริเวณ พร้อมเสียงตบมือกันเกรียว ก่อนที่คุณน้องจะกลิ้งโค่โล่ลงไปกองกับพื้นถนนเสียงนุ่มแน่นดังแอ่ก!

โอ๊วว— หม่าย— ก็อดดดดด!!!
ผมร้องออกมาอย่างไม่อายฟ้าดิน โดยที่มือซ้ายยังชูป้ายคะแนนอยู่

ตะลึงงันอยู่พักหนึ่งก็มีสายลมหนาวที่หวังดีพัดพาคุณลุงขี่รถผ่านขึ้นมาแถวนั้น ลุงแกจอดรถลงมาช่วยผมยกฟุ้งฝันขึ้นจากร่อง สายตาหันไปทางคุณน้องที่นอนกองอยู่ใกล้ๆ กันแว่บหนึ่งแล้วหันกลับมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า
“เป็นไรกันมากป๊ะเนี่ยย?”

(โปรดติดตามตอนต่อไป เพราะเกรงใจเห็นว่ายาวเกิน)

12/17/2008

ลีโอและโรตี

1
ถ้าใช้เป็นกับแกล้มก็ดูจะเป็นกับแกล้มที่ไม่ค่อยจะเข้ากันเอาเสียเลย สำหรับม้วนโรตีใส่ไข่ในมือที่ผมแวะซื้อตรงหน้าปากซอยทางเข้าเกสเฮ้าส์แถวชุมชนวัดเจ็ดยอด โดยที่มืออีกข้างนั้นมีเบียร์ลีโอ 4 กระป๋องเป็นตัวตั้งที่แกว่งไกวไปมาอยู่ก่อนแล้ว

เปล่า- ไม่ได้คิดว่าจะใช้ทานเป็นกับแกล้มจริงจังอะไรกับเบียร์ที่มีอยู่หรอก
ผมเพียงแค่ต้องการความหวานสักเล็กน้อยให้กับค่ำคืนหนาวกลางเดือนธันวาฯ ที่ดูท่าจะยาวนานคืนนี้

เสียงร้องเพลงค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ ในทุกย่างก้าวที่ผมสาวเพิ่มเริ่มจากปากซอย จนพอฟังออกว่าเป็นเพลงใหม่ล่าสุดของคุณบอย พีชเมกเกอร์ ที่ผมเพิ่งฟังมาหมาดๆ เมื่อช่วงหัวค่ำที่ตลาดนัดข้างๆ บขส. เชียงราย
“กลับมาแล้วเหรอพี่ ได้อะไรมาบ้างล่ะ... พี่จะกลับพรุ่งนี้แต่เช้าเลยใช่มั้ย งั้นพรุ่งนี้เช้าตอนพี่ออกไปพี่วางกุญแจไว้ที่เคาท์เตอร์เลยนะ ตอนเช้าที่นี่ไม่มีใครอยู่”
ผมพยักหน้าเป็นคำตอบรับพร้อมนั่งลงตรงม้าหินด้านหน้าเกสเฮ้าส์พร้อมๆ กับเปิดเบียร์กระป๋องแรก
“ว่าแต่พี่เดินทางคนเดียวแบบนี้อยู่บ่อยๆ เหรอ?”
จัน- พนักงานต้อนรับ ผู้สักข้อความ “รักมะลิ” ตัวเขื่องลงตรงหน้าอกข้างซ้าย ตำแหน่งเดียวกันกับหัวใจ (คุณจันเขาเปิดให้ผมดูเองเมื่อช่วงบ่าย มิได้มีการละลาบละล้วงแอบมองแต่อย่างใด) และเป็นคนเดียวกันกับเสียงที่ร้องเพลง “ใจฉันเป็นของเธอ” ของคุณบอย พีชเมกเกอร์ได้ทั้งวันโดยไม่รู้เบื่อ เดินตรงเข้ามานั่งคุยเป็นเพื่อนเอ่ยถาม
“ไปโน่นไปนี่แบบพี่นี่น่าสนุกดีเนอะ”

………

2
ผมเคยเที่ยวบอกใครต่อใครว่าผมชอบบรรยากาศโดยรวมของเดือนธันวาฯ
คงเพราะเป็นเดือนสุด/ส่งท้ายของปี
คงเพราะเป็นเดือนที่ (น่าจะ) มีอากาศดีที่สุดของปี
คงเพราะมีวันหยุดหลายวัน
คงเพราะมีงานเทศกาลรื่นเริงตลอดทั้งเดือน
คงเพราะมีวันพ่อ- วันคริสมาสต์- วันส่งท้ายปีเก่าและวันขึ้นปีใหม่
และคงเพราะผมคิดเอาเองอยู่เสมอว่ามันช่างเป็นเดือนที่เหมาะแก่การเดินทางท่องเที่ยวในทุกประการ ไม่ว่าจะขึ้นเหนือหรือล่องใต้ เพื่อที่จะเปิดทัศนวิสัยใหม่ๆ และทบทวนเรื่องราวต่างๆ ในเวลาเดียวกัน
ยิ่งถ้าได้สนทนารอบกองไฟบนดอยสูงกับเพื่อนฝูงท่ามกลางอากาศเย็นๆ หรือจะเป็นการล้อมวงพูดคุยเคล้าเสียงคลื่นในเวลากลางคืนบนพื้นทรายริมชายหาดที่ไหนสักแห่งบนเกาะทางใต้นะ...ฮึ่ม ฮึ่ม...

เอาเป็นว่าผมเคยชอบบรรยากาศโดยรวมของเดือนธันวาฯ ก็แล้วกัน

3
ภายนอกรอบข้างในคืนนี้นั้นเป็นไปตามปกติวิสัยอย่างที่มันควรจะมีในเดือนธันวาคมของทุกๆ ที่ เกสเฮ้าส์ที่ผมเข้าพักนี่ก็มีการตกแต่งประดับประดาด้วยแสงสีระยิบระยับวิบวับๆ ของไฟกระพริบที่ห้อยระโยงระยางอยู่รอบต้นเฟื่องฟ้าซึ่งทำหน้าที่เฉพาะกิจและเฉพาะเดือนแทนต้นคริสมาสต์แบบชั่วคราว อีกสีสันของริ้วริบบิ้นหลากสีรอบๆ บริเวณหน้าบ้าน ก็ช่วยทำให้ที่นี่ดูมีชีวิตชีวาไม่น้อย

คุยกับจันอยู่นานสองนานจึงชำเลืองนาฬิกาแขวนติดผนัง มันแสดงเวลาว่าอีกไม่ถึงสิบห้านาทีจะสองยาม
แปลว่าใกล้ได้เวลาเลิกงานของคุณจันเขาแล้ว
ในเมื่อ No More จัน ผมก็ต้องกลับมาพบกับความจริงอีกครั้งว่าไม่มีใครเหลืออยู่เลยเหมือนเช่นเคยในตอนแรกเริ่มเดิมที

ยิ่งดึกที่นี่ยิ่งหนาว
ลมยะเยือกเย็นพัดมาปะทะร่างเป็นระยะ
กลิ่นหอมจางๆ ของต้นราตรีลอยล่องโชยมาบางเบา

“แล้วมันเข้ากันมั้ยนั่น ไอ้โรตีกับเบียร์ของพี่น่ะ”
จันถามผมก่อนจะขอตัวกลับบ้าน
“ก็ดี- เยี่ยมเลย”
ผมตอบไปแบบนั้น
มันเขินเกินไปที่จะต้องบอกความจริงข้างในออกไป
ว่ารสชาติมันช่างขมปนเศร้าจนแล่นเข้ากระดูกดำกันเลยทีเดียว

………

บอกตรงๆ
ผมเคยชอบบรรยากาศโดยรวมของเดือนธันวาฯ
และโรตีที่มีนั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไร

12/13/2008

แจ่ม = (ดิน+ฟ้า+อากาศ) ดี








I love that you get cold when it’s 71 degree out.
I love that it takes you an hour and a half to order a sandwich.
I love that you get a little crinkle in your nose, when you’re looking at me like I’m nuts.
I love that after I spend day with you, I can still smell your perfume on your clothes.
And…
I love that you are the last person I want to talk to before I go to sleep at night.
And it’s not because I’m lonely,
And it’s not because it’s New Year’s Eve.
I came here tonight because…
When you realize you want to spend the rest of your life with somebody, you want the rest of your life to start as soon as possible.

บางตอนแจ่มๆ จาก “When Harry Met Sally (1989)”
และกับบรรยากาศแจ่มๆ แบบนี้--
Don’t be afraid to express your self.

12/03/2008

November Me


-- ณ โรงเรียนอนุบาลบ้านเมืองเลา --

“เอาล่ะนักเรียน ไหนใครได้อะไรมาบ้างในเดือนพฤศจิกายนที่เพิ่งผ่านไปจ๊ะ?” คุงคูแป้งถามเด็กๆ แล้วส่งสายตาไล่ทีละคนจากซ้ายไปขวา

ด.ช. ดำแดง (เงียบ)
ด.ช. แดมิท (เงียบฉี่...)
ด.ญ. สีนวล (เงียบเป็นเป่าสาก...)
ด.ญ. น้องฟ้า (เงี๊ยบ เงียบ...)

วนมาถึงผมที่นั่งอยู่ขวาสุด

“Live a balanced life—learn some and think some and draw and paint and sing and dance and play and work every day some.”-- Robert Fulghum

“นั่นคือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้และเข้าใจใน All I Really Need To Know I Learned In Kindergarten ที่คุณตาฟูลกัมแกเขียนไว้คับคุงคู”
ผมตอบออกไปอย่างฉะฉานพร้อมกับใบหน้าที่เบิกบานเป็นกระด้ง
“ดีมากจ่ะ ภาษาประกิตเธอใช้ได้ทีเดียวนะเนี่ย”
คุงคูชมผม และเขย่ามือตบส่งเสียงสนับสนุนกระพือพั่บๆ
“เอาล่ะ แล้วไหนวันนี้ใครมีอะไรสงสัยมั้ยจ๊ะ?”
คุงคูแป้งฉุดฉวยถามต่อแล้วส่งสายตาในแนววิถีเดิม

ด.ช. ดำแดง (ก้มหน้า)
ด.ช. แดม-อิท (หลบสายตา)
ด.ญ. สีนวล (ส่ายหัว)
ด.ญ. น้องฟ้า (มองหน้าคุงคู แววตาพร้อมที่จะเรียนรู้)

จนวนมาถึงผม ซึ่งตั้งคำถามรอท่าอยู่แล้ว
“คุงคูคับ...
“ผมสังสัยจังคับว่าวันที่ 5 นี้ ถ้าผมใส่เสื้อสีเหลืองมันจะผิดไหมคับ?”

.........

Death Air
ไม่มีคำตอบจากคุงคู

11/25/2008

ตุกติก

ถ้าจะคิดว่าเป็นเรื่องวิสามัญก็ไม่ผิดนัก
ช่วงหลังมานี่ใต้ตาซ้ายของข้าพเจ้ากระตุกบ่อย เลยลองเลียบเคียงเอียงคอไปไถ่ถามเพื่อนผู้ (คิดว่าน่าจะไม่) รู้ ที่นั่งแนบอยู่ข้างๆ ห่างไปสองคืบดูว่าพอจะทราบถึงสาเหตุการณ์ไม่ปกติที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าในช่วงนี้หรือไม่ ประการใด
“จนปัญญา”
สหายหาญผู้สนิทสนมแนบแน่นกันมากว่าสิบปีวิสัชนา
ตรงตามความน่าจะเป็นที่ข้าพเจ้าคาดเดา
“แต่โบราณเขาว่า ‘ขวาซ้าย ร้ายดี’ ฉะนั้นช่วงนี้เอ็งก็น่าจะมีเรื่องดีๆ เข้ามาในชีวิตแหละเพื่อนเอ๋ย”
“ขวาร้าย ซ้ายดี..”
ข้าพเจ้าเปล่งเสียงทุ้มต่ำอย่างขัดขื่นรับมุขเกลอหนุ่ม และคิดตาม... จริงหรือ?
(~_~")
ข้าพเจ้าขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่พองามพร้อมๆ กันกับที่ใต้ตาซ้ายกระตุก ตุบๆ

-1- -2- / -1- -2- -3- -4-
สามสี่วันผ่านไปจากวันนั้น
ใต้ตาซ้ายข้างเดิมของข้าพเจ้ายังคงกระตุกตุบๆ คงจังหวะสม่ำเสมอเป็นปกติไม่เพี้ยนเปลี่ยนไปจากก่อนนี้ที่เป็นเรื่องผิดปกติสำหรับข้าพเจ้า ยังมาซึ่งการแอบรู้สึกผิดหวังเล็กๆ น้อยๆ ที่อุตสาหะตั้งหน้าตั้งตารอสิ่งดีๆ ที่คาดว่าคงจะแวะเวียนและวกวน (เนื่องจากเคยพบเจอกันมาบ้าง) กลับมาหา... แต่เปล่า

ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการเล่นตุกติกกับคำโบราณที่ว่าไว้แต่อย่างใด
อาการกระตุกที่ใต้ตานั้นยังดำรงคงเดิม
และก็ดูท่าว่าจะยังไม่มีเรื่องดีๆ ผ่านเข้ามาอีกนาน
ข้าพเจ้าเห็นควรว่าคงจะต้องทำอะไรสักอย่างสองอย่าง
ก่อนไอ้อาการที่ว่าจะลุกลามและเลยข้ามมาข้างขวาแล้วกระมัง

11/11/2008

รูปไม่หล่อ





~สุขสันต์วันลอยกระทง~

แบบว่าจะหายตัวไปหลายวัน โดยเริ่มจากคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองนี้เป็นต้นไป
จะขึ้นไปปะปังกับลมหนาวที่คาดว่าจะหนาวเอาเรื่องสำหรับที่แม่สะเรียง เลี้อยต่อขึ้นขุนยวม เข้าเชียงราย ยังไม่มีกำหนดกลับตายตัว แต่คาดว่าคงไม่นานนัก กลัวแฟนๆ (ที่มีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ย) จะคิดถึง เลยถือโอกาสหยิบเอารูปขมๆ (แปลว่าไม่คมนัก-ขำๆ) ที่เคยถ่ายให้คุณ Really มาแปะไว้ให้ได้ดู ได้ชม และได้โหวตกันเล่นๆ โดยใช้ชื่องานว่า "โหวตให้รูปไม่หล่อเขาหน่อย" (ขออนุญาตนายแบบแล้ว นายแบบกัดฟันตอบว่าไม่มีปัญหา ^^)
ทำแบบสำรวจไว้ให้ได้โหวตกันทางด้านข้าง รูปไหนที่คิดว่า "ไม่หล่อ" ก็ติ๊ก (Click) ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นคนมีสีหรือไม่มีก็ติ๊กได้นะ ไม่เกี่ยง
นั่นหมายความว่ารูปที่มีคนติ๊กให้น้อยสุดก็เป็นรูปที่ผมถ่ายออกมาแล้วดูเหมือนจะ "หล่อ" สุด พอนึกออกป่ะ

งงมั๊ย? ไม่เป็นไร อย่าได้แคร์

แล้วเจอกันเน่อ~

11/07/2008

CHANGE = CHANCE


ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดาอย่างไร?

“…เปรียบเทียบง่ายๆ คนที่เป็นเซลส์ขายของ ที่วันหนึ่งขายได้ไม่ถึงเป้าแล้วหัวหน้ามาบอกว่า คุณไม่เหมาะกับงานนี้หรอก ออกไปซะ วินาทีนั้นคุณจะร้องไห้ เพราะรู้ว่ากำลังจะตกงาน แต่เมื่อคุณออกไปแล้ว คุณกลับค้นพบความสามารถว่าคุณเล่นแซกโซโฟนได้เก่งมาก จนมีคนชอบเยอะแยะไปหมด นั่นคือ change คุณอาจจะไม่เหมาะกับหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่ง เพราะบังเอิญขณะนั้น เวลาหรือโอกาสมันไม่เอื้อ แต่คนที่คิดในทางบวก เขาจะคิดว่าการเปลี่ยนแปลงคือการมีหน้าต่างแห่งโอกาสเปิดรออยู่หลายๆ บานทุกครั้ง เพียงแต่จะหาเจอหรือเปล่าว่าคุณเหมาะกับอะไร… this is change

ตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ บัญชา ชุมชัยเวทย์ นักวิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจมือฉมังของไทย ใน adB ฉบับที่ 15 (31 ตุลาฯ – 6 พฤศจิกาฯ 51)

อ่านแล้วสะกิดใจดี เลยนำมาเล่าสู่กันฟัง
เพราะในอากาศ นั้นย่อมมีโอกาส
และอากาศนั้นก็เปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ
ประสาอะไรกับฝนนอกฤดูกาล

มันมีให้เห็นอยู่บ่อยไป

11/01/2008

There's Something About ...


Well, ล่าสุดไปถ่ายรูปเพื่อใช้ทำ card แต่งงานให้กับพี่ทัชและพี่ก้อยมา
Concept ในการถ่ายที่พี่ๆ ทั้งสองระบุเน้นมาให้ก็คือ
“ถ่ายยังไงก็ได้ ขอแค่ไม่ฟุ้งฝัน ดูแล้วไม่เลี่ยน”
“Oh! Great that’s my style.”

ผมรู้จักกับคนทั้งคู่ตอนที่เริ่มทำงานใหม่ๆ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว
โดยผมอยู่บริษัทเดียวกันกับพี่ก้อย (Littlefing)
ส่วนพี่ทัช (Touch) คนรักของพี่ก้อยนั้นแกก็จะแวะเวียนมาเที่ยวเล่นที่ที่ทำงานเรา (Me and พี่ก้อย) บ่อยๆ We (พี่ๆ ทั้งสองและผม) always ไปเที่ยวและ eating out ในยามเลิกงานกันอยู่เสมอ ๆ ครั้งที่จำได้แม่นไม่ลืมคือวันที่เราไปลอยกระทงโต้รุ่งกันที่ Dreamworld ค่ำคืนนั้นสนุกและเปียกปอนเอาเรื่องเชียว that why เราสนิทสนมและพอรู้นิสัยใจคอกัน
So, การถ่ายในวันนั้นจึงค่อนข้าง be frank เป็นกันเอง และก็ต้อง thanks เจ้า “ถังไป่หู่” และ “ฟางซื่อยี่” baby ที่น่ารักของพี่ๆ เขาที่มา jam ด้วยใน frame (ช่วยสร้างความหฤหุนหรรษาฮาให้ไม่น้อยเลย) ^_^"

Few days after ขณะนั่งรถเมล์เอางานไปส่งที่ office ของพี่ก้อยแถวพระราม 4 (สำหรับคนที่ไม่เคยขึ้น- รถเมล์ราคา 10 THB แล้วนะ) กำลังนั่งหน้าเหนียวเหนอะหนะรับฝุ่นควันอยู่ DD บนรถ copy เด็ดๆ ก็พลันบังเกิด

“Blink!” หลอดไส้ประหยัดไฟในหัวผมกระพริบขึ้น
แล้วผมก็ใช้ความรู้ English เท่าที่พอมีอยู่ทั้งหมดขีดเขียนลงบนแผ่น CD
หลังจากขมวดเป็นปมอยู่ในหัวมาหลายป้ายก่อนจะคลี่คลายไปว่า

“Since the day their littlefingers locked,
their love has been in everlasting touch.”


แปลเป็นไทยก็ประมาณ

“ตั้งแต่วันที่คนทั้งคู่ได้เกี่ยวก้อยกัน
ก็สัมผัสได้ถึงสิ่งที่เรียกว่าความรัก”


Fi--na--le!

10/20/2008

ดอกเดียว


ประทับใจอะไรหรือ?
หญิงสาวถามผมหลังจากที่ทราบข่าวเข้าหูขวาของเธอ ว่าผมไปนอนกลิ้งและเกลือกกลั้ว ใช้ชีวิตมั่วๆ อยู่ที่ลันตามาเสียหลายวัน

ขอข้ามไปไม่พูดถึงเรื่องความงามของอันดามัน และแสงอัสดงของสุริยาที่ลาลับโลกตรงเส้นแบ่งระหว่างฟ้ากับน้ำนั่นก็แล้วกัน
เพราะนั่นมันเป็นเรื่องของความมหัศจรรย์ เกินที่จะเอื้อนเอ่ยบรรยาย

“น่าจะเป็นสไลด์” ผมนึกสักพักก่อนตอบเธอไปอย่างนั้น
และดูเหมือนว่าสิ่งที่ชัดเจนและอบอวลอยู่ในความทรงจำนอกเหนือไปจากความงามของธรรมชาตินั้น ก็เห็นจะเป็นสิ่งที่ผมตอบเธอไป

………

ขณะกำลังนั่งละเลียดฟองเบียร์อยู่ที่บาร์ริมหาด แกล้มกับเสียงคลื่นที่กำลังซัดสาดเข้าหาฝั่งยามค่ำคืน
บางห้วงบางตอนผมก็อดไม่ได้ที่จะนั่งหมกมุ่นครุ่นคิดถึงเรื่องที่เพิ่งซัดเข้ามาในชีวิตจนเปียกปอน และก็พบว่ามันน่าเจ็บใจนัก ที่ไม่สามารถเก็บรักษาความสุขและเรื่องราวดีๆ ที่เคยมีให้คงอยู่และยาวนานกว่านั้น เพราะด้วยความอ่อนด้อยในการจัดการชีวิตของตัวเอง

คงโวยวายและโทษใครไม่ได้
นอกจากตัวเอง
และจะทำอย่างไรได้อีก
นอกจากทำใจ ไม่ใช่ดื้อด้านฟูมฟาย

พี่เดียว- พนักงานที่ร้านนั้นคงเห็นพฤติกรรมอันไม่ชวนมองของผมเข้า แกจึงเข้ามาชวนคุยด้วย แกถามผมว่าชอบถ่ายรูปหรือ คงเพราะแกเห็นหนอนตัวนั้น (กล้อง canon ของผมมันชื่อเล่นว่า “หนอน” ชื่อเต็มๆ คือ “หนอนทอง” ) ที่นอนนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ข้างๆ
พอผมพยักหน้ารับ พี่แกก็หายวับเข้าไปทำตัวลึกลับอยู่ในเคาท์เตอร์บาร์ ชั่วครู่แกก็กลับมาพร้อมกับสไลด์ที่ใส่กรอบไว้เรียบร้อยแล้วประมาณ 20 อัน พร้อมกับยื่นให้ผม

“ดูให้หน่อย” แกบอกพร้อมเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนนั้นแกก็ชอบถ่ายรูป และเคยเข้าไปเรียนถ่ายรูปที่กรุงเทพฯ มาอยู่หลายปี ซึ่งสมัยนั้นมันต้องถ่ายด้วยฟิล์ม และสไลด์เหล่านี้ก็เป็นผลงานของแกเองที่เก็บไว้ (แกบอกติดตลกว่าเรียนอยู่หลายปี แต่เอาดีไม่ค่อยได้)

เข้าใจดีเลยแหละครับ ว่ารูปหรือภาพที่ถ่ายมานั้นจะมี ‘คุณ’ และ ‘ค่า’ ก็ต่อเมื่อมันได้ทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวบางอย่างในนั้นกับใครก็ตามสืบต่อไป ถ้าใครก็ตามนั้นเกิดอาการ ‘โดน’ ก็เป็นอันสมบูรณ์ จึงไม่แปลกใจเลยที่พี่แกอุตส่าห์ไปค้นไปหามาให้ผมช่วยดูให้แก

ผมหยิบสไลด์ของพี่เดียวส่องดูกับแสงอุ่นๆ ของเทียนแท่งที่วางอยู่บนโต๊ะที่ละอันๆ จนครบ สังเกตว่ากว่าครึ่งนั้นเป็นภาพของดอกไม้ จึงถามแกไปว่าชอบดอกไม้หรือ

พี่เดียวยิ้มแย้มฟันขาวให้เห็น ดูขัดๆ กันกับบุคลิกของพี่แกยังไงไม่รู้
ชายฉกรรจ์ปั่นเดทร็อกมัดรวบไว้ด้านหลัง นุ่งกางเกงเลสามส่วน สวมเสื้อยืดสีขาวสบายๆ พับแขนอวดให้เห็นรอยสักที่ต้นแขนอยู่รำไร รอบคอและข้อมือเต็มไปด้วยสร้อยและกำไลหลากสี
“ชอบที่มันหอม” แกว่าอย่างนั้น
“ไงล่ะ, โดนสักดอกบ้างมั้ย?”

ผมตอบแกตามที่เห็นไปว่าชอบภาพที่แกถ่าย และก็โดนใจอยู่หลายดอกทีเดียว
แต่กว่านั้นมันเป็นเรื่องของสัมผัสและความรู้สึกมากกว่า
เพียงสัมผัส ผมก็รู้ว่าสไลด์ภาพพวกนี้มันมี ‘กลิ่น’ จริงๆ
มันเป็นกลิ่นของความทรงจำลางๆ ของผมที่เริ่มจะเจือจางลงเรื่อยๆ
เรื่องราวหลากหลายมากมายในวันวาน
ร้อยแปดที่เปี่ยมแน่นด้วยเนื้อหาสาระ และพันเก้าที่เหลวไหลไร้แก่นสาร
ทั้งหวานชื่นและขื่นขม

กับบางกลิ่นในชีวิต เชื่อเถอะว่ามันไม่เคยจางหาย

ต้องขอบคุณภาพถ่ายของพี่เดียวแก โดยเฉพาะภาพดอกรักของแกดอกนั้น
อย่างน้อยเรื่องราวที่ตกค้างอยู่ตามกิ่งก้านของความทรงจำและใต้กลีบใบของหัวใจมันเริ่มจะโชยกลิ่นอ่อนๆ หวนกลับขึ้นมาหอมทีละนิด ทีละนิด

ไม่ถึงกับฉุน แต่ละมุนละไม