6/26/2011

เช้าสายบ่ายเย็นย่ำแกงต็อก
























ที่ลูกศรชี้น่ะหิมาลัย โอเคนะูู ; D

6/21/2011

เป็นพระ

แล้วไอ้ต่อก็บวช
ไม่นานนักจากวันที่โทรไป
มันบอกว่าหมอห้ามดื่มแล้ว เพราะเครื่องเคราข้างในมันเริ่มมีปัญหา
กะจะชวนคุยเรื่องราวสี่ซ้าห้าปีที่โน่นว่าเป็นอย่างไรบ้างแบบยาวๆ เสียหน่อย เพราะวันที่ไปรับมันที่สนามบินก็ไม่ได้คุยกันจริงๆ จังๆ แต่อย่างใด เพียงพูดคุยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบและเรื่องทั่วๆ ไปกันมากกว่า
ผมกดโทรศัพท์ไปหามัน
บลา.. บลา.. บลา..
เราสวมกอดกันโดยไม่มีอาการเคอะเขินแต่อย่างใดด้วยความคิดถึง
นอกจากกอดกับแฟนสาวแล้ว กอดของเพื่อนรักที่จากกันไปยาวนานกว่าห้าปีก็รู้สึกดีเยี่ยมไม่แพ้กัน จริงๆ นะ เชื่อเถอะ แค่ยกมือทักกันมันไม่พอหรอก
ผมไปรับมันที่สนามบินสุวรรณภูมิ
ปีที่ 5 มันมาโพสบอกกำหนดกลับในเว็บบอร์ดของทีมฟุตบอลเรา (แน่นอน เราเคยเตะด้วยกัน อ้อ ใช่! อีกอย่างมันเป็นสาวกสาลิกาดงเช่นเดียวกันกับผมด้วย) ว่าใครว่างก็เชิญไปต้อนรับได้ที่สนามบิน แลนดิ้งราวเที่ยงคืน
ปีที่ 4 ..... เงียบกริบ เช่นเดียวกับปีแรก แต่พอรู้ว่ามันทำงานอยู่ในร้านอาหาร
ปีที่ 3 มันโทรมาบอกว่าตามอ่านบล็อกผมอยู่ เขียนต่อไปเรื่อยๆ นะ มันชอบ
ปีที่ 2 มันส่งเมลมาแนะนำวง Bloc Party บอกให้ลองฟังดู
ปีแรก ผ่านไปอย่างเงียบเชียบไร้ซึ่งการติดต่อ
ผมไปส่งมันที่สนามบินดอนเมือง
บลา.. บลา.. บลา..
เราดื่มกินอย่างเมามายย่านพญาไท บนความคึกคักและครื้นเครงประสาวัยรุ่น คลอเคล้าขับกล่อมอารมณ์คะนองของค่ำคืนด้วยบทเพลง “แอน” ของเสกโลโซ
พอเรื่องวีซ่าเรียบร้อย มันก็โทรมาชวนผมออกไปเลี้ยงส่งให้มันหน่อย
ผมก็กำลังง่วนอยู่กับการงานในบางกอก จึงไม่ได้อะไรกับมัน
จำได้ว่ามีช่วงหนึ่งมันไปลงเรียนปรัญชาอะไรสักอย่างที่ทับแก้ว แต่ไม่รอด
หลังจบมหาวิทยาลัย มันทำงานอยู่พักใหญ่ ลาออก กลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด อีกพักหนึ่งมันก็นึกจะไปเรียนต่อ
ไม่ผิดจริงๆ หากจะต้องเดาว่าพวกเพื่อนๆ เราใครจะมีเรื่องให้เซอร์ไพรส์ว่าจะได้ไปต่อ... ผมหมายถึงไปเรียนต่อเมืองนอกเมืองนา
บลา.. บลา.. บลา..
แต่เหนืออื่นใด มันจริงใจ และเป็นเพื่อนที่ดี
เป็นแบบฉบับของมันเองโดยแท้
อีกหลายต่อหลายเรื่องก็จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ขอรับประกันการันตีว่าเยาวชนใฝ่ดีไม่ควรลอกเลียนแบบเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
ก็มันนั่นแหละที่เป็นคนนั่งซ้อนท้ายไอ้เล็ก แล้วพวกก็ขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านกันหลังวงเหล้าเราเลิก ด้วยความเมาแอ๋ (เหมือนเช่นทุกครั้ง) มันก็ลุกขึ้นยืนบนเบาะ (การทรงตัวเป็นเลิศ) แล้วปลดซิบกางเกงบรรจงเยี่ยวลงใส่หลังไอ้เล็กมันบนความเร็วกว่า 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยความสำราญ
เล่นเอาไอ้เล็กนี่บ่นอุบไปหลายเดือน
For Example
โอย.. เยอะ ไม่ไหวจะเล่า
แต่ไอ้ที่วีรกรรมเยอะสุดก็คงต้องยกให้ไอ้ต่อมัน
สมัยนั้นก็ดื่มกินเหล้าเบียร์กันเป็นน้ำ มีภาพจำและเรื่องเล่าตอนเมาๆ เพียบ
กลายเป็นแก็งค์ขนาดใหญ่ นับรวมได้สิบสามนาย ผู้ชายล้วน
ไปรวมเข้าด้วยกันกับพรรคพวกข้างในหอพักในโรงเรียนด้วยอีกราวสิบคน
เราอยู่ก๊วนเดียวกันสมัยเมื่อตอนสามปีในมัธยมปลาย
เพื่อนผู้ชายกลุ่มแรกของผมกับห้องทับแปด 4/8, 5/8 และ 6/8
ไอ้ต่อ ไอ้เล็ก และไอ้ปาร์ก
ยุทธจักรและสิทธิเจตน์
เป็นต่อศักดิ์

6/16/2011

ว่าด้วยลูกกลมๆ มีลมข้างใน





เป็นปีแล้วมั้ง ที่ไม่ได้เตะบอลเลย คิดถึงจัง
เมื่อครั้งเก่าก่อนผมกับเพื่อนๆ มีโปรแกรมฟาดแข้งกันทุกค่ำคืนวันอาทิตย์อย่างสม่ำเสมอเป็นประจำกว่า 6 ปี (..หรือ 7 ปีวะ จำไม่ได้แล้วสิ) จนถึงวันเวลาที่ต้องหยุดพักแข้งยาวกันตามภาระการงานที่ฉุดดึงเราหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงเพื่อนๆ บางคนก็มีครอบครัว และน้องๆ ที่ต้องดูแล

เราเคยเชื่อมความสัมพันธ์กันผ่านลูกกลมๆ ที่มีลมข้างในมาอย่างยาวนาน

พอเดือนที่แล้วไปนั่งถ่ายเด็กๆ วัยกำลังซนเตะบอลกัน
ก็เลยไม่ค่อยมีกะจิตกะใจจะถ่ายสักเท่าไหร่ (นิสัยนะเรา) คิดถึงคืนวันเก่าๆ
ภาพมันก็เลยออกมาเบลอๆ ไหวๆ ไม่เป็นสับปะรด

เปล่าเลย มือไม่ได้สั่น
แต่เป็น 'ใจ' ต่างหาก
มันสั่นสู้และเพ่นพ่านออกจากอกไปวิ่งเล่นอยู่ในสนามตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
คิดถึงเพื่อนๆ คิดถึงทีมคู่แข่ง ลูกโยนยาว ทะลุช่อง แผลสด เหงื่อไคล
แม้แต่อาการปวดเมื่อยในเช้าตรู่วันทำงานรุ่งขึ้นนั่นก็ด้วย

เฮ้อ... อยากเตะบอลขึ้นมาเต็มกำลัง

6/08/2011

1 2 123 12 12.. 3




เคยบอกไว้นานแล้วว่านักเดินทางที่ดีนั้นย่อมไม่ย้อนกลับเส้นทางเดิม
และเพื่อความสมบูรณ์แบบของทริป ร้ายดียังไงเสียผมก็ต้องใช้บริการรถไฟในอินเดียให้ได้ ก็เลยจัดสรรโปรแกรมขากลับเสียใหม่โดยหาจับรถแชร์จี๊บ (Share Jeep) เข้าไปยัง NJP (ย่อมาจาก New Jalpaiguri) พี่ชายฝรั่งที่เจอในร้านอาหารธิเบตเล็กๆ ต้นถนน The Mall ที่ดาร์จีลิงซึ่งผมไปฝากท้องไว้กว่า 2 มื้อมันแนะนำว่า "โอ้ย! เอ็งไปเหอะ มันวิ่งทั้งวันทั้งคืนแหละ รถไฟที่นั่นน่ะ"

ผมตกลงเออออเองตามนั้น บ่ายอีกวันจึงขึ้นแชร์จี๊บออกจากดาร์จีลิงมุ่งหน้าสู่ NJP ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมที่จะไปหาตั๋วรถไฟกลับโกลกาต้าเอาดาบหน้าที่โน่น

รถแชร์จี๊บนั้นล้อจะหมุนเมื่อคนเต็ม (เอี่ยด) เท่านั้น ผมรออยู่เกือบชั่วโมงที่ท่ารถในตลาดกว่าจะได้ออก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ถ้าคุณเผื่อเวลาสำหรับการเดินทางไว้ประเภทเหลือๆ แบบผม

ภายในรถก็เต็มไปด้วยผู้โดยสารหลากหลายกว่า 12 ท่าน
ก็เบียดเสียดยัดอัดกันเข้าไปในรถขนาดกะทัดรัดคันนั้น
เบาะหน้า 4 แถวสอง 4 และโซนหลัง 5
วิ่งไปได้สักพักคุณพี่คนขับหนวดงามไว้รองทรงสูงแสกกลางเรียบแปร้แกก็แวะจอดปะและเติมลมเพราะยางหน้ามันเกิดอาการซึมเศร้าจนรั่วในที่สุด

และนั่นคือปฐมบทแห่ง 'ยาง'
ก่อนที่ผมจะมารู้ในอีก 3 ชั่วโมงให้หลังว่ายางมันแตกอีก 2 ล้อ ตลอดทาง
เริ่มไล่ตั้งแต่หน้าซ้าย (ที่รั่ว) หลังขวา และจบด้วยยางหลังทางฝั่งซ้าย
อ้อ แล้วยางทุกเส้นที่มีนั้นก็ไร้แล้วซึ่งดอกยาง
เส้นทางขึ้นเขาลงเหวที่ต้องพบผ่านจึงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นตัวเกร็ง มวลในท้องน้อยกระอักกระอ่วนชวนให้เกิดซึนามิบริเวณช่องปาก ผมเองยังเผลอเหยียบเบรกลมแบบสุดตีนช่วยพี่หนวดงามอยู่เนืองๆ
จากระยะทางที่จะใช้่เวลาราว 2 ชั่วโมงเศษ จึงปาเข้าไปเกือบๆ 5 ชั่วโมง

..ไตรภาคแห่งยาง

ผมลุกขึ้นปรบมือเป็นทำนองเพลงเชียร์ขอบคุณพี่ชายโชเฟอร์ และเพื่อเป็นเกียรติให้กับแชร์จี๊บทันทีที่ถึงจุดหมาย 1 2 123 12 12 333333

หนัง (ยาง) เรื่องนี้สนุกจริงๆ
ดีนะที่มันจบบริบูรณ์ตรงภาคสาม

.........

*หนึ่งในบทบันทึกสั้นๆ จากทริปอินเดียที่รัก

6/02/2011

Miss Call

พี่ชายท่านหนึ่งโทรฯ มาหาจากญี่ปุ่น
แกไปเที่ยวได้สิบกว่าวันแล้ว กำหนดกลับคืออีกสองวันข้างหน้า
ผมถามแกไปว่าอยู่ไหน แกบอกว่าอยู่แถวๆ ตีนภูเขาไฟฟูจิ
แล้วก็บอกต่อว่าเสียดายเนอะ วิวที่นี่สวยนะ น่าจะมาเที่ยวด้วยกัน
เราเคยคุยฟุ้งกันเป็นวรรคเป็นเวรว่าจะไปปีนฟูจิซังด้วยกันเมื่อหลายปีก่อน
จากนั้นแกก็เล่าต่อว่าสิบกว่าวันที่นั่นสนุกมาก เหนือคำบรรยาย
"น่าจะมาด้วยกัน" แกย้ำอีกดอก

ใช่พี่-- เสียดายสิ ทำไมจะไม่ ผมน่าจะไปด้วย
ประเทศในฝันเลยนะญี่ปุ่นน่ะ
แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ไม่ค่อยเป็นโล้เป็นพายนักก็ทำให้ผมผลัดวันประกัน (ปี) พรุ่งกับดินแดนอาทิตย์อุทัยไปเรื่อยๆ จนมารู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนว่ามันอาจจะสายเกินไปแล้ว ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะท่องเที่ยวญี่ปุ่นอีกต่อไปแล้ว อาทิตย์ดวงนั้นเหมือนจะลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ และพอมันลอยสูงขึ้นเข้า มันก็จะค่อยๆ เผยความสว่างของเวลากลางวัน แสงเริ่มแรง และทำให้เกิด 'เงา' ซึ่งผมไม่ชอบ
ทริปนี้จึงได้แต่ส่ายหน้าส่ายมือไปมาปฏิเสธคำชวนจากแก แม้ว่าจะมีคนรู้จักทางโน้นคอยเทกแคร์ดูแลและมีที่พักฟรีตลอดทริปก็ตาม

อย่างหนึ่งคือรสนิยมการเที่ยวของผมผิดเพี้ยนแปลกแปร่ง
อันนี้ถือเป็นข้อเสีย ซึ่งเป็นเรื่องที่สายเกินแก้ไปแล้ว

สองคือชุดภาพความทรงจำสีจัดจ้านจากอินเดีย ความงามที่แท้จริงของสิกขิม อีกกับรสชาติแห่งดาร์จีลิงยังคงละมุนและแจ่มชัดเกินไป
..หิมาลัยในใจผมยังไม่ละลาย

อีกอย่าง ของบางอย่างอยู่แต่แค่ในฝันก็ไม่เลวนักนะ ผมว่า
(แล้วก็ไม่แน่อีก ปีหน้า ผมอาจอยู่ในอารมณ์อยากไปก็ได้ ใครรู้เหรอ)

เราคุยกันต่ออีกไ่ม่นานก่อนจะนัดแนะวันไปรับที่สนามบินตอนแกกลับ
ผมส่งเสียงใสบอกแกไปว่าดีใจมากที่คิดถึงกันและโทรฯ มาหา
แล้วเราก็วางสาย ผมนั่งรถเมล์กลับบ้านหลังเสร็จงาน
ซึ่งตอนรับสายแก ผมก็เพิ่งขึ้นรถ และจ่ายค่าโดยสารกับพนักงานไป

ดีใจเล็กน้อยที่วันนี้ยังทันรถเมล์เที่ยวสุดท้าย