12/11/2013

จดหมายเหตุกาแฟ

“เอากาแฟสดมั้ย” 
แม่ไอ้รันถามมาในตอนที่เราจัดการปลาดุกย่างกับสะเดาลวกเรียบร้อยและรวบช้อนแล้ว 
สมการแห่งความอร่อย— จากที่ขรมปร่า สะเดาก็กลมกล่อมเมื่อเจอกับปลาที่ว่า

ผมกับไอ้ไฝมาดอนเจดีย์ตั้งแต่ช่วงบ่ายเพื่อร่วมงานฌาปนกิจ หลังทราบข่าวการจากไปของน้องชายศรันย์มัน (อันจะเล่าถึงในคราวต่อไป) เรามาด้วยใจที่หมายจะไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้ายให้กับผู้วายชนม์ หลังจากปลงศพแล้วเสร็จ เราก็ปลงใจตกลงค้างที่บ้านมันเมื่อคืนแทนที่จะลากลับเลย แหม...ก็รสชาติปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียมกับบรรยากาศริมแม่น้ำท่าจีนที่ศรีประจันต์มันดีเยี่ยมขนาดนั้น ก็เลยพาเราหมดรีเจนซี่ไปสองแบนแบบเบาๆ จนต้องกลับมาต่อกันอีกหน่อยที่บ้านงาน โทษฐานที่แนะนำร้าน

“เนี่ย พวกครูที่โรงเรียนเขาชงมาให้ตั้งแต่วันก่อน ยังเหลืออยู่ เอามั้ย เดี๋ยวแม่จะชงให้”
แม่พูดไปพลางก็เปิดช่องฟรีชไปพลาง เอากาแฟ (สด) เย็นที่มัดใส่เป็นถุงๆ เรียบร้อยแล้วออกมา เราเห็นกันไม่ถนัดแต่ก็รู้ได้ในทันทีเช่นกันว่าแข็งเป๊ก “เอานะ เดี๋ยวแม่ไปละลายน้ำอุ่นให้”

“โอ้ย กาแฟสดของแม่น่ะมันหว้านหวานเสียเหลือเกิน หนูนะต้องผสมน้ำเพิ่มเข้าไปตั้งเบิกแน่ะกว่าจะกินได้”  พี่สาวไอ้รันที่ล้างจานอยู่ในครัวเริ่มส่งเสียงโหมโรง
“จะเติมน้ำเข้าไปให้มันได้อะไร สูตรเขามาแบบนั้นก็ต้องคงสูตรเขาไว้แบบนั้น จะไปเพิ่มไปลดอะไรของเขาน่ะมันไม่ได้ จะให้มันไปเหมือนอย่างที่เราชอบเสียหมดมันได้ที่ไหน” แม่ว่า
“แล้วอีกอย่าง แม่ก็ไม่เห็นว่ามันจะหวานอย่างที่แกบอกตรงไหนเลย” แม่ว่าต่อ
“โอ้ย ใครกินเขาก็บอกว่าหวานกันทั้งนั้นแหละแม่ สูตรกาแฟแม่น่ะ” 
ยังมีการโต้คารมกันต่ออีกเล็กๆ น้อยๆ แต่ถึงตอนนี้พ่อที่นั่งอยู่ด้วยกันกับเราก็ปลีกตัวออกไปข้างนอกบ้านอย่างเงียบๆ แม่เทกาแฟที่ละลายให้เราด้วยน้ำอุ่นลงไปในแก้วที่ใส่น้ำแข็งรออยู่ก่อนแล้ว จากนั้นเดินถือมาให้เรา “เอ้า กินดูลูก”

เรากล่าวขอบคุณ ไอ้ไฝดูดเข้าไปอึกใหญ่แล้วบอกว่า แหม่..เข้มข้นดีจัง ส่วนผมรอสักพักพอเป็นพิธีก่อนจะดูดบ้าง ผมเป็นแบบนี้ ชอบรออะไรหลายๆ อย่างอย่างละนิดอย่างละหน่อยให้พอหอมปากหอมคอ
...แล้วดูดด้วยกระหาย

หวานบรม

ไม่ได้พูดออกไปดอกนะ แต่แค่แปลกใจที่ทำไมหนอแก้วไอ้ไฝกับแก้วผมมันไม่เหมือนกัน

เราเดินถือแก้วกาแฟออกมาเดินกินรับอากาศเช้าข้างนอกบ้าน พ่อไอ้รันกำลังเก็บข้าวของโน่นนี่ที่หลงเหลือจากงานให้เรียบร้อยอยู่ในโรงเก็บของโดยมีโอเลี้ยงวิ่งเล่นอยู่รอบๆ น้องแอลหลานมันก็อยู่ข้างนอกนี่ด้วย เจี้อยแจ้วสำเนียงเสียงแบบสุพรรณเล่นกับไอ้รันอยู่อีกทาง พ่อไอ้รันนั้นผมแกขาวทั้งหัวมาหลายปีแล้ว ผมไม่ค่อยเห็นคนผมขาวทั้งหัวที่ดูดีแบบพ่อเท่าไหร่ อาจเพราะแกดูเป็นคนสุขภาพดี

อากาศยามเช้าที่นี่เย็นสบาย เพราะเป็นบ้านที่ปลูกอยู่ท่ามกลางสวนมะม่วงจากน้ำพักน้ำแรงพ่อนั่นแหละ มีเสียงนกร้องคลอโรยอยู่บางๆ รอบๆ บ้าน จามจุรีต้นใหญ่แผ่ร่มเงาปกคลุมให้ความรื่นรมย์ไปทั่วบริเวณ พ่อเล่าว่าแกเอามาลงตั้งแต่ยังเป็นกล้าเมื่อสามปีก่อน แล้วมันก็โตวันโตคืนด้วยดินอันอุดมผืนนี้ ผมกับไอ้ไฝเดินไปทางพ่อหวังจะชวนแกคุย หรือไม่ก็ช่วยงาน หรืออะไรก็ได้ บังเอิญว่ามีขวดน้ำเปล่าจากเมื่อคืนวางอยู่ตรงนั้นพอดี ผมเองไม่รีรอที่จะหยิบขึ้นมาดื่มบรรเทาความหวานที่ได้มาจากในบ้านเมื่อครู่

“ขอกูด้วย” ไอ้ไฝกวักมือหยอยๆ ขอแบ่งน้ำขวดต่อจากผม
“แม่งหวานฉิบหาย” มันว่า
“อ้าว ไอ้ห่ะ ไหนในบ้านมึงบอกว่ารสเข้มข้น กูก็นึกว่า”

พ่อไอ้รันลุกเดินมาทางเราแล้วก็ส่งยิ้มให้พร้อมกับลังข้าวของที่ประคองอยู่ในมือ
“แม่ลูกเขาชงกันประจำแหละ” แกได้ยินทุกอย่างตั้งแต่เริ่ม

โอย...ผมนี่หัวร่องอหาย 
เรื่องนี้โคตรเจ๋ง!


_________________
ป.ล. เขียนถึงครอบครัวแพอ่อนด้วยเคารพรัก

11/25/2013

November Me / ปกกำมะหยี่ / พิธีแต่งงาน








เป็นเดือนที่หนักหนาทีเดียว
คือทั้งงานหนักและก็คิวแน่น ไล่เรียงมาตั้งแต่งานแต่งโอ๊คเมื่อปลายตุลาฯ สหายคิ้มแนะนำเราไป อวยไปว่าฝีมือเรานี่หาตัวจับยากมาก แน่ละสิ— แอบหัวร่อในลำคอทั้งน้ำตา ทว่าก็ดีใจไม่แพ้กัน เราเองร้างจากการถ่ายงานแต่งไปนานมาก จะให้ตรงเข้าเป้าเลยก็ต้องบอกว่า ร้  า  ง  ร  า จากการถ่ายรูปไปนานเนกาเล พอจะต้องมาถ่ายจริงๆ แบตฯ กล้องก็เสื่อม ต้องวุ่นวายซื้อหามาเตรียมการไว้ ไหนจะเลนส์จากทรงพลอีก ขอบคุณมาก เพราะอีกสองอาทิตย์ก็เป็นคิวเจ้าเชษฐ์ที่กบินทร์ฯ (ปี๊ดๆ) งานหลังนี่นอกจากจะต้องเตรียมแบตฯ กล้องแล้วยังต้องเตรียมความฟิตไปเปรสเหล้ากับบรรดาเดอะแก็งส์อีก ใช่ย่อยเสียที่ไหนไอ้พวกนี้ มันกินเหล้ากันเป็นน้ำ มิพักจะต้องพูดถึงงานเอสโซ่กับโบเฮ่ที่ลพบุรี-สระบุรีเมื่อต้นเดือน งานนั้นคณะบางแสนก็ขนกันมาเต็มวงพร้อมหางเครื่อง ปรมะก็บินตรงลงมาจากเจียงใหม่กับคุณวิชัย ลากเราไปจากสำนักงานตั้งแต่เย็นวันศุกร์ ทีแรกหมายใจจะนั่งรถไฟตามไปเช้าวันเสาร์ แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีใครเข้าใจ และก็เข้าใจไม่ได้ด้วยว่าทำไมมึงต้องตามไป วะ! ในเมื่อราชรถก็มารอรับมึงอยู่แล้ว นั่งไปด้วยกันนี่แหละ ขับไปไม่นานก็ถึง ซี้ย่ำปึ้กจากเจียงใหม่เขาว่าไว้แบบนั้น ไอ้เราก็เลยต้องเลยตามเลย โดดขึ้นรถไป เข้าเมืองมาอีกทีก็โน่น....บ่ายวันอาทิตย์โน่นเลย ในอาภรณ์เดียวกันกับเช้าวันศุกร์ สุดสัปดาห์นั้นก็บอบช้ำกลับมาเช่นกัน (ปี๊ดๆ) เบาหน่อยก็เป็นงานแอนนี่กับน้องๆ ที่สำนักงาน แต่ก็หลังจากที่ฟื้นไข้มานะ เพราะอยู่ดีๆ อาการหนาวสั่นก็จู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวตอนบ่ายวันศุกร์ หลังจากดื่มโกโก้เย็นแก้วนั้นเข้าไปก็หนาวสั่นไม่หยุดเลย ต้องลากสังขารอันระโหยกลับมานอนซมอยู่ห้องหนึ่งวันเต็มๆ  กำลังวังชาถึงจะคืนฟื้นขึ้นมา เท่าที่จำได้เราไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ไม่รู้ว่ามีส่วนเกี่ยวกับที่เราเบิกทวารตัวเองด้วยการทำดีท็อกซ์ในวันคล้ายวันเกิดหรือเปล่า ไม่น่าจะนะ (ปี๊ด!ๆ) งานล่านี้ไปเป็นแขกรับเชิญ งานชิลๆ เก๋ๆ โดยเฉพาะซุ้มถ่ายรูปแต่งงาน โอย...ฟ้ากับเหวเลย ถ้าจะให้เปรียบเทียบกับที่กบินทร์ฯ ที่นั่นใช้ทางมะพร้าวดัดเอา บ้านมาก แต่ก็นะ ความแตกต่างนี่แหละคือความแตกต่าง ซึ่งในตลอดทั้งเดือนเราก็ยังต้องโหมออกแบบและปรับแก้ปกให้กับกำมะหยี่เขาด้วย เราได้โอกาสเป็นผู้ออกแบบ ‘คาฟกา วิฬาร์ นาคาตะ’ ของเฮียมูฯ เชียวนะ แน่ละ น้อยกว่ากันได้อย่างไรเล่า ก็ต้องเต็มที่ไม่ให้ขาดตกบกพร่องควบคู่ไปกับทำรูปแต่งงานให้โอ๊คและเจ้าเชษฐ์อยู่ทุกเมื่อเชื่อคืน

อา...พฤศจิกา
เป็นเดือนที่หนักหนาและเสียงดังทีเดียว

__________

ป.ล. 1 ลอยกระทงปีนี้สวยงามและเซอร์เรียลเหลือเกิน เราละชอบจริง : )
ป.ล. 2 แล้วก็ยังไม่ได้เขียนถึงนครพนมจนได้ T_T

10/31/2013

ออนซอนนครพนม


จากที่ติดอยู่ในใจมาตลอดหลายปี สุดท้ายก็สมอยาก
เหมือนพญานาค--ตัวพระธาตุฯ เองก็ไม่มีขา อยากกราบไหว้ก็ต้องขวนขวายหาเวลามากันเอง 
เริ่มต้นอย่างง่ายง๊าย...ยิ่งกว่าแช่แป้งทำพิซซ่าที่ตั้งใจจะไป

ปีวอกเหรอ? วันอาทิตย์เหรอ? ไม่ติดค้างใดๆ กันแล้วนะ : )

------------
ป.ล. แปะไว้ก่อน ไว้จะกลับมาเขียน

9/21/2013

1306/8


นานโขอยู่ที่ไม่ได้เจอะเจอ
หน.นิ้มมุนี่แต่งงานกับเปิ้ลจนมีลูกชายตัวโตแล้ว ทั้งคู่อยู่ชัยนาท
สุภางค์ดูสวยไม่สร่างเหมือนเดิม ส่วนไอ้นิ้ม..... U_U
จิเป็นเภสัชอยู่พระบาทฯ เพิ่งแต่งงานไปไม่นาน เราเองไปงานวันนั้นด้วย วันนั้นได้เจอปุ้มกับแจ็คจ้าด้วย เสียดายที่วันนี้ไม่เจอ
บีเพิ่งจบคอร์สโหราศาสตร์โหดสัสจาก อ.ลักษณ์ ฟันธง มา ช่างน่าตื่นเต้น
ห้องเรามี "หมอบี" เพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้วนะหมอบี : )
ไอ้ปาร์ก นางฟ้าแห่งละครภาษาอังกฤษและเป็นคนเดียวกันกับมีกีต้าร์วง Z-UI ก็เป็นเถ้าแก่น้อยไปแล้วกับร้านเครื่องหนัง Vamp up ของมัน ที่ร่วมปลุกปั้นมากับมนต์ชัยไฝที่ไม่ได้มา
เพียชเองก็ไม่ได้มา เธอกลายเป็นแอกเน่ (Acne) ไปแล้ว อาจจะไม่ว่าง 55
อันนี้มุขไอ้ปาร์กมัน จำได้ ชอบ
ที่จริงคืนนี้ไอ้กอล์ฟก็ตั้งใจจะมา ถ้าไม่ติดว่าเป็นคืนหมาหอน ..พลาดเบย
แม้วไปชุบตัวอยู่อเมริกา กลับมาเป็น Marketing มันบอกว่า Happy Day Now
ต่อศักดิ์เขาก็ไปนะ แต่รายนี้รู้สึกจะไปเป็น Marketing อยู่อเมริกา แล้วกลับมาชุบตัวที่เมืองไทย (ฮา)
ไอ้เล็ก (1) เป็น ผอ. อยู่โรงพยาบาลสัตว์แถวพระรามสอง มันเป็นคนเก่งอยู่แล้ว เราเองจบ ม. ปลายมาได้ก็เพราะมัน กับซี้มัน— ชิโนบิ คืนนี้มันไม่มา
ไอ้เล็ก (2) ยุทธจักร สุวรรณศรี วิศกรใหญ่แห่ง รฟม. ผลงานของมันใครรู้แล้วต้องคารวะ มันอุทิศตนเพื่อความสุขมวลรวมโดยแท้
ไอ้ปืนนี่ก็เป็นถึงที่ปรึกษาสถาบันออกแบบนานาชาติชนาพัฒน์โน่น ไม่ธรรมดา
นุช, ส้ม และกิ๊บเองก็จบการศึกษาชั้นสูงและเป็นหัวเรือใหญ่อยู่กับบริษัทมีระดับ นุชอยู่ CMG ส้มอยู่ SCB (เอ...หรือกรุงศรีฯ นะ..ลืม) ส่วนกิ๊บนี่ทำงานเกี่ยวกับสังคมสงเคราะห์อะไรสักอย่างนี่แหละ
พวกเธอทั้งสามดูเหมือนเดิม คือน่ารัก ฉลาด และมีสไตล์

และกับคนสุดท้าย ตุ๊บ ตุ๊บนี่สำคัญ (หลายคนก็เรียกว่าอีตุ๊บได้อย่างสนิทปาก)
She เป็นหมอ...ใหญ่อยู่ชุมพร She เป็นคนที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคนเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องของความเก่งกาจ ...หรืออุจาด..... U_U

9/03/2013

OUTING


"Life may not be the party we hoped for.
But while we're here, we should dance."

Jeanne C. Stein

..........

หลังจากที่ท่านผู้นำกล่าวเปิดงาน ร่วมรับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย ก็เข้าสู่กิจกรรมบนเวที เรามีการแสดงจากแผนกต่างๆ ประมาณสี่ซ้าห้าชุดนะ ถ้าผมจำไม่ผิด บ้างก็ร้อง บ้างก็เต้น สุดแล้วแต่ว่าใครหรือทีมไหนจะตระเตรียมการอะไรมา จากนั้นจะมีการโหวต และผู้ที่ได้เสียงโหวตมากที่สุดก็จะได้รับรางวัลตอบแทนความอุตสาหะ

คนที่ไร้ซึ่งความพยายามอย่างผมนั้นก็ทำได้เพียงแต่ดื่ม และเป็นผู้ชมที่ดี
โห่ร้องและปรบมือตามแต่เห็นด้วยอยู่ที่โต๊ะ

การแสดงผ่านไปแล้วสามชุด ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดก็สูงขึ้นตามลำดับ ในตลอดเวลานั้นเสียงเพลงและเสียงหัวเราะไม่เคยห่างหาย ดีกรีความคึกคักสนุกสนานของงานก็ดูเหมือนจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ยังไม่ทันจะสี่ทุ่มดี พวกเราทั้งหลายชายหญิงก็ล้วนเมามายกันหมดแล้วโดยถ้วนทั่ว

ช่วงของการแสดงลุล่วง ผลรางวัลถูกประกาศ ‘พรโชว์’ ชนะเลิศอย่างเป็นเอกฉันท์ แล้วจากนั้นปาร์ตี้ที่แท้ก็เริ่ม ไล่ตั้งแต่ในห้องประชุม โยกย้ายไปที่สระน้ำ แล้วไหลต่อเข้าห้องนุ้กกี้ บรรดาคนที่ได้ไปต่อภาคสองที่สระก็ไม่แคล้วคลาดที่จะต้องถูกหามลงสระ หลายคนก็ปิดฉากงานเลี้ยงที่นี่ ส่วนพวกสายแข็งก็จะชำระล้างร่างกายแล้วไปต่อภาคจบของงานเลี้ยงที่ห้องของนุ้กกี้— สาวผมแดงเพลิงตาสีฟ้าผู้ปลูกวัชพืชภายให้ห้อง อันพร้อมเพียบด้วยเด็กรับใช้และเสาโรมันอยู่ในนั้น

เป็นคืนปาร์ตี้ที่ถ้าจะใช้คำว่า ‘โหดสัส’ ก็ดูเหมือนจะไม่ผิดอะไรเลย
มีเหตุเกิดขึ้นมากมาย ผมจึงเพียงจะจดจารขอเล่าถึงความประทับใจในการณ์หนึ่งในงาน มันเกิดขึ้นในภาคแรก— ที่ห้องประชุม  ก่อนที่ความโหดสัสจะครอบคุมพวกเขาและเธอ แน่นอน...รวมทั้งผม


ขณะที่หลายคนออกลีลากันอยู่หน้าเวทีไปกับเสียงเพลงเต้นรำ พี่โป่งในชุดเสื้อแขนตัดสีดำก็เดินเข้ามาขอเปิดคอนเสิร์ตเสมือนเล็กๆ สักสองสามสี่เพลงที่หน้าเวทีกับกีต้าร์โปร่งคู่กายที่แกหิ้วติดไป ทุกคนที่นั่นต่างก็ตีวงกันเข้ามาห้อมล้อมกันละกันไว้ โดยมีพี่โป่งแกเป็นดั่งศูนย์กลางจักรวาล รายรอบด้วยมวลชนเกือบสามสิบ ถ้าผมจำไม่ผิด จากนั้นเราก็ร่วมกันขับขานบรรเลงบทเพลงร่วมกันในระบบสุริยะนั้น

น้อยครั้งที่ผมจะยินยอมอยู่ร่วมในลักษณะทำนองนี้
คืนค่ำล้ำค่า สุราเมรัย มวลที่มีในขณะนั้นมันตราตรึงดึงดูด
เป็นห้วงเวลาที่สวยงามและเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาดีแท้

ก็ไม่ได้จะสนับสนุนให้ดื่ม แต่บอกตามตรง...ผมไม่แน่ใจ
ว่าถ้าสัมปชัญญะสติคุณอยู่ตั้งมั่นอยู่ครบถ้วน แล้วภาพมินิคอนเสิร์ตเสมือนของพี่โป่งแกคืนนั้นมันจะยวนเย้าเร้าอารมณ์ร่วมคุณได้สมบูรณ์แบบแบบที่ผม (และพวกเรา) ซ่านซับรับกันได้หรือไม่

ไม่เห็นหรอก— แต่รับรู้ได้ว่าค่ำคืนนั้นในห้องฯ มันท่วมท้นเปียกปอนไปด้วยเอนโดฟินจำนวนมหาศาล และมองยังไงมันก็ไม่เหมือนคืนวันเสาร์เลย
มันเหมือนคืนค่ำของวันเมื่อวานมากกว่า

8/12/2013

My Grandpa has a charm


ก๋งจากพวกเราไปในวัย 99 ปี
แกจากพวกเราไปอย่างสงบด้วยความถึงพร้อมทุกปวงประการ
เวลาคำนึงนึกถึงทีไร ภาพที่เห็นในหัวจะต้องมีเงาตะคุ่มๆ สองสามตัว— สมุนของแกโผล่ติดมาด้วยทุกครั้งไป ภาพทรงจำที่มีของผมสองสามเรื่องเกี่ยวกับก๋งจึงหนีไม่พ้นที่จะเกี่ยวกับหมาด้วย

1.  ชีวิตประจำวัน
ทุกๆ เช้ามืดก่อนไก่ขันก๋งแกจะลุกขึ้นจากที่นอน หนีบกระเป๋าใบจ้อยที่มีของใช้เล็กๆ น้อยๆ ส่วนตัว ส่องไฟฉายค่อยๆ ดุ่มเดินทะลวงความมืดไปกับผ้าขาวม้าผืนเก่งยังครัวหลังบ้าน ตั้งหม้อข้าว ก่อฟืนจุดไฟและหุงต้มข้าวเพื่อเลี้ยงลูกสมุนแกอีกสามตัว ซึ่งไอ้เจ้าสามตัวนี่ก็เป็นรุ่นที่เท่าไหร่ผมก็จำไม่ได้แล้ว จำได้แต่ว่ารอบข้างกายของก๋งนั้นไม่เคยขาดลูกสมุนเลย แกเลี้ยงดูเหมือนลูกเหมือนหลาน เหมือนเพื่อนสนิทที่รักใคร่รู้ใจกันและกัน เวลาที่ได้ขยี้ขยำหัวเจ้าลูกสมุนทั้งสามนั้นแลดูจะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขในชีวิตไม่กี่อย่างของก๋งในวันวัยที่ชราภาพแล้ว


2.  ก๋งผมมีอาคม
ไม่เพียงแต่แค่พวกเราหรือครอบครัวเราเท่านั้นที่รู้ หากชาวบ้านในละแวกหมู่บ้านของเราก็ล้วนเชื่อมั่นและยืนยันกันแบบนั้น หากลูกเต้าเหล่าใครหน้าไหนถึงคราวซวยโดนหมากัดเข้าให้ พวกผู้ใหญ่ก็จะต้องอุ้มพาเด็กเคราะห์ร้ายคนนั้นพร้อมกับเสียงร้องไห้กระจองอแงอันดังสนั่นหวั่นไหวปานโลกจะแตกมาให้ก๋งผมรักษา

วันไหนอยู่บ้านและได้ยินสุ้มเสียงที่ว่านั้นค่อยๆ ดังตรงเข้ามายังบ้าน ผมก็จะรู้ในทันทีว่าไม่ใครก็ใครโดนงับเข้าให้แล้ว

วิธีการรักษาของก๋งนั้นก็ไม่ได้ซับซ้อนแต่อย่างใด ก่อนอื่นก็ทำความสะอาดแผลให้เรียบร้อย แล้วก๋งก็เพียงประทับฝ่าเท้าข้างขวาของแกที่มีรอยสักของสิ่งศักดิ์สิทธิ์รูปร่างคล้ายสิงห์ที่น่องลงไปบนบาดแผลรอยเขี้ยว และแกก็จะพึมพำร่ายมนต์สักพัก ใช้เวลาไม่น่าจะเกินนาทีก่อนจะราฝ่าเท้าออก และพ่นคาถากำกับทับลงไปยังบาดแผล

เพี้ยง! หาย!

ถึงตอนนี้ก็เป็นอันเสร็จพิธี ไม่ยุ่งยากหรือสร้างความเจ็บปวดเพิ่มเติมใดๆ ก๋งใช้เวลาเยียวยาด้วยฝ่าเท้าหนึ่งนาที ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ แล้วจากที่บ่อน้ำตาแตกแหกปากร้องไห้กันจ้าละหวั่น เด็กๆ เหล่านั้นก็เงียบกริบ แผลสดนั้นยังไม่หายก็จริง แต่ถ้าดูให้ดีๆ แผลที่มีนั้นจะสมานขึ้นมาก ที่สำคัญที่สุดคือความเจ็บปวดจากบาดแผลนั้นทุเลาลงไปอย่างน่าอัศจรรย์

แล้วจากนั้นพวกผู้ใหญ่ถึงจะพาเด็กๆ เหล่านั้นไปอนามัยหาหมอแผนปัจจุบัน เพื่อทำแผลและฉีดยากันพิษสุนัขบ้าในลำดับต่อไป มิพักต้องพูดถึงสมัยเก่าก่อนที่ยังไม่มีโรคที่ว่า ทุกอย่างจบลงที่บ้านผม แล้วแยกย้าย

ผมที่อยู่ตรงนั้นเวลานั้นก็ได้แต่ตื่นเต้นไปกับเหตุการณ์ ปลาบปลื้มไปกับเรื่องราวมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น

ผมในตอนนั้นไม่ประสาหรอกว่าวิชาอาคมคืออะไร หรือก๋งผมมีคาถาเยียวยารักษาบาดแผลหมากัดจริงไหม แต่ก็เชื่ออย่างสนิทใจว่าก๋งเป็นหมอเทวดา ก๋งของผมอาจมีความสามารถพิเศษที่สามารถดูดซับความเจ็บปวดจากพวกเด็กๆ มาเก็บไว้กับตัว ก่อนจะแปรรูปไปเป็นพลังงานในรูปแบบอื่นก็เป็นได้— แต่อันนี้ไม่รู้ เพราะผมเองก็ไม่เคย จะรู้ก็เพียงว่านั่นเป็นความทรงจำที่พิเศษและมีค่ามากสำหรับผม


วันเวลาไหลเลื่อนเคลื่อนไป
ผมโตขึ้นโตขึ้น ย่างก้าวเข้าสู่วัยรุ่น ได้รับการศึกษาในระดับมัธยม สนุกสนานไปกับทีวีสีและเกมส์แฟมิลี่
ก่อนที่เรื่องราวมหัศจรรย์ในวัยเยาว์เริ่มจะเลือนหาย
เสียงคุ้นหูที่นานมากแล้วไม่ได้ยินก็หวนกลับมาอีกครั้ง
ทว่าคราวนี้เป็นเสียงร้องโอดโอยของผมเอง

เย็นวันนั้นผมเดินกลับบ้าน กำลังเพลิดเพลินจดจ่อไปกับเกมส์กดในมือจนพลาดท่าไปเหยียบหางเจ้าหมา (จากไหนก็ไม่รู้) ที่นอนสงบนิ่งอยู่ข้างทาง จนโดนมันงับเข้าจมเขี้ยวที่น่องและต้นขา รู้ตัวอีกทีพ่อก็มาอุ้มพาผมกลับบ้าน แล้วตรงไปหลังบ้าน และพอไปถึง ก๋งนั้นก็ตั้งท่าเตรียมอยู่แล้ว

พอถึงมือก๋ง (ซึ่งถ้าจะพูดให้ถูกก็คงต้องบอกว่า ‘ถึงเท้า’) ก็เป็นไปตามพิธีการ
ใจผมนั้นอยากตรงไปอนามัยเพื่อทำแผลเลยอยู่แล้ว โตแล้วนี่ ไม่อยากจะมาเสียเวลามาให้ก๋งเหยียบให้หรอก ดูจะไร้สาระและเสียเวลาเปล่า ผมทำท่าปฏิเสธและอิดออดบอกกับพ่อว่าไม่เอา ไม่อยากเหยียบ ผมที่อยู่ตรงนั้นเวลานั้นไม่มีอารมณ์จะตื่นเต้นไปกับเหตุการณ์ และอดแคลงใจไม่ได้ว่าจะต้องมาทำอะไรแบบนี้ไปเพื่ออะไร ความปลาบปลื้มเลื่อมใสในตัวก๋งหล่นหายไปตอนไหนผมเองก็ไม่รู้
จนฝ่าเท้าที่คุ้นเคยได้ทาบลงบนความเจ็บปวดของผม
ก๋งพึมพำร่ายอาคมเช่นเคย

เพี้ยง! หาย!

ในท่านอน ผมหันเหลียวไปมองหน้าก๋ง
แกยิ้มให้ พร้อมๆ กับการสลายหายไปของความแคลงใจ

..........

3.  ผม กับปัจจุบัน ในวันที่ก๋งจากไป
ทุกวันนี้ผมเองยังคงนึกถึงก๋งอยู่เสมอๆ ในเวลาที่ขยี้หัวหมาเล่นที่บ้าน
เรื่องนี้นั้นคนรอบข้างผมหลายคนก็หลงลืมไปบ้างแล้วตามกาลเวลา แต่แปลกที่ผมเองกลับจำได้ขึ้นใจไม่เคยลืม และผมก็รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครก็ตามได้ฟัง  ไม่ว่าคุณจะมีความคิดเห็นเป็นเช่นไร
กับเรื่องที่เล่ามาว่าก๋งผมมีอาคม

________________________________________________________
**ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร About Chan ฉบับที่ 4 ประจำเดือน ก.ค. 56
***จะด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจก็ตามแต่ความเรียงชิ้นนี้เป็นชิ้นที่หนึ่งร้อยพอดิบพอดีใน blog ของข้าพเจ้าเอง..

7/23/2013

Sunday



เท่าที่เห็น เด็กอ้วนคนนั้นมากับ (ผู้ที่คาดว่าน่าจะเป็น) พ่อ ของเขาที่ร้านแห่งนี้เป็นประจำทุกอาทิตย์ พอมาถึง ผู้พ่อก็จะรับเอาเมนูจากบริกรไปเหมือนทุกครั้ง ปราดตาดูลวกๆ รอบเดียวแล้วสั่งแบบเดิม  ส่วนเด็กอ้วนนั่นไม่ดูเมนูแล้ว เขาเลิกดูเมนูมาได้สักพักแล้ว พอถึงตา เขาจะสั่งอย่างฉะฉานเหมือนเก่าว่า “พิซซ่า”

หลังบริกรรับออเดอร์เสร็จ ทวนรายชื่ออาหาร (ซึ่งแน่นอนว่าไม่จำเป็น) และผละออกจากโต๊ะไป คนคู่นี้ก็ควักแอปเปิ้ลที่พกติดตัวขึ้นมาขบเคี้ยวอย่างเมามันในทันที  ของผู้พ่อนั้นเป็นลูกเล็ก ส่วนของเด็กอ้วนนั้นเป็นลูกใหญ่กว่าเมื่อเทียบขนาดกัน ทั้งสองไม่พูดคุยกันเหมือนเคย  เป็นช่วงเวลาอันไร้ซึ่งบทสนทนาที่สมบูรณ์แบบ ต่างง่วนอยู่กับลูกไม้สีสันสดสวยในมือ
ก้มหน้าก้มตากัดกินสิ่งที่ว่าเพื่อรอเวลาจัดการกับอาหารจานเดิมๆ ที่สั่งไป

7/06/2013

สุโขทัยในวัยสามสิบ


หนึ่งในความฝันเล็กๆ ของเขาก็คือการได้มาปั่นจักรยานเล่นที่อุทยานฯ สุโขทัย
ดูเอาเถิด ความฝันแสนเรียบง่ายที่ดูจะเป็นจริงได้ในเร็ววันเสียจริงๆ ใช่ไหมเล่า
เพียงแค่รางาน ลงมือวงวันหยุดวันว่างในปฏิทิน ซื้อตั๋ว แล้วก็เดินทาง
แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องรอให้อายุอานามปาเข้าไปสามสิบกว่าเสียก่อนโน่น

มัวไปทำอะไรอยู่เหรอตัวเอง?

“จะไปยากอะไร เอ็งก็แค่สร้างเงื่อนไขในการเดินทางให้ตัวเอง”
คำของพี่ชายท่านหนึ่งยังคงเวียนวนอยู่ไม่พ้นความทรงจำ

รายการวิ่งฯ ที่สุโขทัยจึงถูกเขาให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุด
นับตั้งแต่โมงยามแห่งการรอคอย สมัคร ยืนยันตั๋ว แสดงตัว เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย แล้วขึ้นรถ

ซึ่งพอเอาเข้าจริงแม้ไม่ได้วิ่งก็ดูว่าจะไม่สลักสำคัญอะไรแล้วกระมัง
เพราะท้ายที่สุด ในความเป็นจริง เราเองนั้นตาเป็นประกาย มือไม้สั่น และกำลังดีดดิ้นจะเป็นจะตายอยู่บนรถคอกหมูกับรุ่งอรุณกลางตลาดสุโขทัย
มันไม่ใช่วิสัยของคนวัยสามสิบเลยนะตัวเอง

5/17/2013

อยู่ชั่วคราว ฮานอย

คงเพราะเป็นบ่ายวันธรรมดา ที่สถานีรถไฟจึงไม่วุ่นวายเท่าไหร่ เช็กอินเข้าที่พัก เก็บกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยเราก็เดินไปหาซื้อตั๋วไปหล่าวไคเที่ยวสามทุ่มสิบนาทีสำหรับสองที่ คืนแรกคืนนี้เราจะนอนบนรถไฟกัน ราคาที่ได้ถูกกว่าจองผ่านนายหน้าจริง ๆ อย่างที่ผมคาด

ได้ตั๋วแล้วเราก็เดินต่อไปหาบุ๋นฉ่าที่ผมเพรียกหาด้วยความหวัง ผมจดแผนที่ร้านไว้ในสมุดบันทึก เราเดินกันไกลพอดู หลุดเข้าไปในย่านเก่า ผ่านร้านขายของสารพัด ผ่านสระขนาดย่อมกลางเมืองแห่งหนึ่ง ผ่านร้านกาแฟหอมฉุยสองสามร้าน คุยกันว่าขากลับค่อยแวะกินกาแฟเวียตกันสักหน่อย เรามีเวลาที่จะอ้อยอิ่งกันอย่างเหลือเฟือกับฮานอย แต่จนถึงตอนนี้ฝนที่ตกก็ยังคงโปรยปรายอยู่ตลอดเวลา รองเท้าของเราก็ยิ่งฉ่ำขึ้นเรื่อย ๆ เพราะย่ำน้ำไม่หยุด กายบอกว่าถ้าเป็นแบบนี้หนทางข้างหน้าของเราท่าจะย่ำแย่ เพราะในการเดินทางไกลนั้น สองเท้าของเราต้องพร้อม และต้องรู้สึกมั่นใจในทุกย่างก้าวเสียก่อน


ร้านที่ตั้งใจจะไปเราหากันไม่เจอ แต่ใกล้ ๆ นั้นมีร้านบุ๋นฉ่าเหมือนกัน เห็นคุณป้าและเจ๊ลูกมือกำลังตั้งท่าจะเก็บร้านพอดี เราเลยร้อง “ซินจ่าว” ทักทายไป จากนั้นนั่งลงและทำมือขอลอง จะได้ไม่เสียเที่ยวที่เดินหากัน

อย่างที่สังหรณ์ไว้ลึก ๆ เลย พอคาดหวังกับการกลับมาของรสชาติในอดีตไว้เยอะก็ต้องผิดหวังพังทลาย บุ๋นฉ่าของเรารสชาติเลวร้ายสุด ๆ นอกจากหมูจะไม่ร้อนแล้วเส้นยังเย็นเจี๊ยบ! แถมยังรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นหมูหวานที่หลงเข้ามาให้ป้าเจ้าของร้านแกเชือดอย่างไรไม่รู้ ฝนที่ตกลงมามีผลไม่น้อยเลย จะโทษฝนโทษฟ้าหรือตำหนิความคาดหวังของตัวเองดีเนี่ย แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายเราก็ต้องฝืนกินกันอย่างพะอืดพะอมด้วยความหิวเพราะตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย นี่ก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสามโมงแล้ว ยังดีที่หลังจากนั้นได้กาแฟเวียตในขากลับแก้ตัว ฉุดเราให้ขึ้นมาจากขุมนรกอันเปียกชื้นและเย็นเยียบนั่นได้


กลับมาที่พักอีกทีช่วงเย็น กายไม่ลืมที่จะยืมดรายเป่าผม เธอไม่ได้ตั้งใจจะเป่าผมหรอก แต่เรายังมีถุงเท้ารองเท้าอีกอย่างละสองคู่รออยู่ด้วย วิเศษ! ความพิเศษของนวัตกรรม เราผลัดกันเป่ารองเท้าถุงเท้ากันอย่างตั้งอกตั้งใจเป็นเวลานานทีเดียว พรุ่งนี้เราจะเข้าจีนแล้ว เราต้องการให้สองเท้าของเรามั่นใจไม่อับชื้น

เป่าจนแห้งดีแล้วเราก็ออกไปหา ‘เฝอ’ กินกันสำหรับมื้อเย็น เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงเวียตนาม ด้านนอกฝนหยุดตกแล้ว ร้านที่เราไปกินกันก็หาเอาง่าย ๆ ใกล้ ๆ ที่พักนั่นเอง “เดินทะลุตลาดเล็กๆ นี่ไปก็ถึง” พนักงานต้อนรับที่เกสเฮ้าส์บอกทางให้กับเรา อร่อยใช้ได้เลย เฝอร้อน ๆ หลังฝนตกหมาด ๆ นี่อร่อยเหาะไปเลย

เราเช็กเอาท์ แวะนั่งดื่ม ‘เบียร์ฮอย’ นับถอยหลังกัน โดยใช้อัตราความเร็วหนึ่งแก้วต่อห้านาทีคอยรถไฟออกที่ใกล้ ๆ สถานี นั่งดื่มมองดูท้องถนนของฮานอยยามค่ำคืน เด็กเสิร์ฟที่ร้านเมียงมองมาทางผมแล้วกระซิบกระซาบกับเพื่อนสาวที่เป็นผู้ชายของ ‘เธอ’ ซึ่งก็เป็นผู้ชายกันใหญ่ ใช่แล้ว— พวกเธอเป็นผู้ชาย กายแซวผมว่าคงถูกสเป็กกระเทยที่นี่ แต่ผมไม่ได้คิดอะไร ผมว่าพวกเธอน่ารักและเป็นมิตรดี คงไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมานั่งร้านนี้เท่าไหร่ ผมเลยเล่นหูเล่นตากับพวกเธอไปขำ ๆ แล้วสั่งถั่วต้มมาเคี้ยวแกล้มเบียร์

ห้าแก้วผ่านไปก็ได้เวลาขึ้นรถ กระดกเบียร์แก้วสุดท้ายเสร็จเรายกเป้ขึ้นหลังแล้วเดินไปยังสถานีฯ โดยต้องเร่งฝีเท้าในการเดินกันเล็กน้อยเพราะเราติดลมกันนิดหน่อยที่ร้าน
พรุ่งนี้เราจะเข้าจีนกันแต่เช้า

..........

4/22/2013

เรื่องของเก๊าต์กับตัวเอง


"สรุปว่าเขาเป็นเก๊าต์" 
คุณหมอก็ยืนยันแบบนั้นมาแล้วเธอยังจะมาอะไรอีก  
พี่ก็รู้นะ ไอ้เรื่องที่เขาเถียงกับเธอคอเป็นเอ็นว่าเขาลื่นแล้วเจ็บที่ร้อยหวายถึงได้มารักษากับทาง รพ.น่ะ แต่มันติดอยู่นิดหนึ่งตรงที่เขายืนยันจะใช้สิทธิ์ประกันอุบัติเหตุให้ได้นี่สิ มันจะได้ไปได้ยังไงกัน ก็ทาง ผอ.เพิ่งจะกำชับนโยบายของเรามาหยกๆ เมื่อวาน เธอเองก็อยู่ในห้องประชุมไม่ใช่เหรอ คุณหมอแกก็ต้องวินิจฉัยไปแบบนั้นแหละ ถูกต้องแล้ว ยิ่งช่วงนี้พวกขาจรชอบมามั่วนิ่มแอบอ้างใช้สิทธิ์นี้อยู่บ่อยๆ ไอ้เขาก็ไม่รู้จะดื้อด้านร้องขอตรวจอีกครั้งกับหมอคนใหม่ไปทำไม มากเรื่องไม่เข้าท่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเสียหน่อย ก็แค่เก๊าต์
  
เธอเองก็เหมือนกัน (หันไปทางพยาบาลอีกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น จากนั้นหันกลับมาที่พยาบาลนางเดิม แล้วพูดต่อว่า-) อย่าถามเซ้าซี้พี่เลย  
เอาเป็นว่าตอนจ่ายยาเธอก็เตือนเรื่องสัตว์ปีกกับหน่อไม้ไปด้วยแล้วกัน

อืม  
ก็สรุปที่เขาเป็นเก๊าต์นั่นแหละ


_________________________________________
หมายเหตุ: รูปประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อหา พอดีวันก่อนไปวิ่งมา

4/05/2013

China à la Mode


เขียนอยู่ 3 เดือน
เสร็จซะที
: )

3/18/2013

กะสันเขื่อน


สามกิโลฯ แรกนั้นลากเลือดทีเดียวเพราะเป็นทางชันขึ้นสันเขื่อน
ครั้งนี้ผมซ้อมมาไม่พอ จึงสาหัสสากรรจ์เอาเรื่อง แต่พูดก็พูด ถึงแม้ว่าจะซ้อมมาพอก็เถอะ ไอ้ช่วงที่วิ่งขึ้นเขานี่เท่าที่เห็นนักวิ่งหลายท่านก็หน้าตาบอกบุญไม่รับเหมือนกัน

ก็มันชัน

แต่พอเลี้ยวพ้นโค้งสุดท้ายเข้าสู่ช่วงสันเขื่อนซึ่งเป็นทางตรงยาวแล้วทุกอย่างก็ปรกติ จุดกลับตัวอยู่ตรงสุดสันฯ ระยะทางไปกลับราวห้ากิโลฯ ได้ ผมวิ่งบดไปบนสันเขื่อนคอนกรีตอัดบดที่ยาวที่สุดในโลก ทัศนียภาพไม่เลว ลมโกรกเย็นสบาย เห็นวิวเขาชะโงกไกลๆ เป็นการวิ่งระฟ้าสูงเกือบๆ ร้อยเมตรครั้งแรก จึงมีความรู้สึกแปลกๆ เวลาชะเง้อลงไปด้านล่างอยู่เหมือนกัน คือมันหวิวๆ

รวมระยะที่วิ่งๆ มาก็เจ็ดสิบกิโลฯ แล้ว อีกสามรายการก็จะครบที่ตั้งใจไว้ แต่เวลายังไม่ดีขึ้น ครั้งนี้เข้าเส้นชัยในเวลาเท่าครั้งก่อนเลย คือหนึ่งชั่วโมงสิบสามนาที ไปเสียเวลาช่วงขึ้นเขาเสียเยอะ คราวหน้าต้องไม่ให้เกินชั่วโมง แต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะครั้งนี้ผมซ้อมมาไม่พอ

แต่บ่องตง แม่มชัน
ถึงแม้ว่าจะซ้อมกันมาพอก็เถอะ

2/19/2013

...ร้อยครั้ง ก็จะชนะทั้งร้อยครั้ง


ส่งรูปนี้ไปประกวดช่วงปลายเดือนธันวาเมื่อปีกลาย
ทางเว็บไซต์แนชั่นแนล จีโอกราฟฟิกไทยเขาจัดประกวดในโปรเจ็กต์ที่ชื่อว่า "Your Shot" หลังจากที่เว้นไปสักระยะหนึ่งเขาก็กลับมาจัดใหม่ เดือนมกราที่ผ่านมาเป็นเดือนแรก เราเองก็อยากร่วมสนุกด้วยก็เลยส่งไป ด้วยเพราะชอบรูปนี้มาก อยากเผยแพร่แชร์สู่สาธารณะ รูปนี้ถ่ายที่สวนสาธารณะสระมังกรดำในเมืองลี่เจียงที่เราไปจีนมา ภาพลงตัว ทั้งแสงและจังหวะแบบ แล้วก็ได้รางวัล "มหานิยม" (Popular Vote) ประจำเดือนมกราคม 2556 ของ NG Thai มา ด้วยคะแนนโหวต 88% จากจำนวนผู้ร่วมโหวตทั่วไป

(แล้วจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม เราคิดว่าเราต้องได้รางวัลอยู่ลึกๆ ด้วยล่ะ
แหม่... คุณดูรูปเอาเองสิ..)

จึงขออัพเป็นเกียรติประวัติเสียหน่อย
ว่าเราเองมันไม่ธรรมดา

...

ใช่อย่างน้อยที่สุดเราก็รู้ว่าเรารู้
อันนี้สำคัญ ; )

1/21/2013

The Cup

5.. 4.. 3.. 2.. 1.. เฮ.....

1929394959697989109...

509519529539549559569579589599...
พิทักษ์ หัวหิน! พิทักษ์ หัวหิน! พิทักษ์ หัวหิน! ...
1009100191002910039100491005910069100791008910099...

2009200192002920039200492005920069200792008920099...

5009 50019 50029 50039 50049 50059 50069... 9... 9... 9...

.........

พอมาถึงตอนกลางของระยะทางทั้งหมด ผมก็ยอมรับน้ำ
สองสามจุดก่อนหน้านี้ผมทำเมินมัน เมื่อคืนจอมยุทธท่านหนึ่งที่จอมบึงแนะว่า ระยะมินิฯ นั้นวิ่งรวดเดียวเลยก็ได้ ไม่ต้องจิบน้ำดอก ผมรับฟังด้วยความเคารพ แต่ความกระหายของคนเราไม่เท่ากัน

สองข้างทางตรงนั้นเป็นท้องทุ่งนา ไกลออกไปในทางซ้ายเราจะเห็นภูเขาหินลูกย่อมๆ อยู่ด้วย ด้านขวามีเหล่านกกระยางสีขาวในนาข้าวสีเขียว มวลอากาศเย็นยามเช้าโชยพัด แดดอุ่นของดวงตาวันแย้มพราว เบื้องบนมีนกอีกกลุ่มบินถลาเล่นลมอยู่ น่าจะเป็นนกเอี้ยงกระมัง— ไม่แน่ใจ

ที่แน่ๆ คือน้ำแก้วนั้นเย็นชื่นนนใจ
อร่อยจนลืมวิ่งเบย

1/14/2013

วันอาทิตย์สีชมพู


สวัสดีวันใหม่
สวัสดีปีเด็ก

เริ่มต้นปีด้วยการมาถึงของเรื่องไม่ดีนัก
การสูญเสียเป็นเรื่องยากที่จะเยียวยาในเวลาอันสั้น

เมื่อวานมีรายการวิ่งการกุศลเพื่อผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ชื่อรายการว่า "Pink Day Love Run" ก็คิดอะไรเองหลายๆ อย่าง อยากวิ่งเพื่อ 'น้องเขา'
อยากอุทิศเหรียญสีหวานอันนี้ให้น้องเขา

เป็นความตั้งใจจริง
ขอให้หนูมีความสุขอยู่บนโน้นเน่อ : )