11/25/2008

ตุกติก

ถ้าจะคิดว่าเป็นเรื่องวิสามัญก็ไม่ผิดนัก
ช่วงหลังมานี่ใต้ตาซ้ายของข้าพเจ้ากระตุกบ่อย เลยลองเลียบเคียงเอียงคอไปไถ่ถามเพื่อนผู้ (คิดว่าน่าจะไม่) รู้ ที่นั่งแนบอยู่ข้างๆ ห่างไปสองคืบดูว่าพอจะทราบถึงสาเหตุการณ์ไม่ปกติที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าในช่วงนี้หรือไม่ ประการใด
“จนปัญญา”
สหายหาญผู้สนิทสนมแนบแน่นกันมากว่าสิบปีวิสัชนา
ตรงตามความน่าจะเป็นที่ข้าพเจ้าคาดเดา
“แต่โบราณเขาว่า ‘ขวาซ้าย ร้ายดี’ ฉะนั้นช่วงนี้เอ็งก็น่าจะมีเรื่องดีๆ เข้ามาในชีวิตแหละเพื่อนเอ๋ย”
“ขวาร้าย ซ้ายดี..”
ข้าพเจ้าเปล่งเสียงทุ้มต่ำอย่างขัดขื่นรับมุขเกลอหนุ่ม และคิดตาม... จริงหรือ?
(~_~")
ข้าพเจ้าขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่พองามพร้อมๆ กันกับที่ใต้ตาซ้ายกระตุก ตุบๆ

-1- -2- / -1- -2- -3- -4-
สามสี่วันผ่านไปจากวันนั้น
ใต้ตาซ้ายข้างเดิมของข้าพเจ้ายังคงกระตุกตุบๆ คงจังหวะสม่ำเสมอเป็นปกติไม่เพี้ยนเปลี่ยนไปจากก่อนนี้ที่เป็นเรื่องผิดปกติสำหรับข้าพเจ้า ยังมาซึ่งการแอบรู้สึกผิดหวังเล็กๆ น้อยๆ ที่อุตสาหะตั้งหน้าตั้งตารอสิ่งดีๆ ที่คาดว่าคงจะแวะเวียนและวกวน (เนื่องจากเคยพบเจอกันมาบ้าง) กลับมาหา... แต่เปล่า

ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการเล่นตุกติกกับคำโบราณที่ว่าไว้แต่อย่างใด
อาการกระตุกที่ใต้ตานั้นยังดำรงคงเดิม
และก็ดูท่าว่าจะยังไม่มีเรื่องดีๆ ผ่านเข้ามาอีกนาน
ข้าพเจ้าเห็นควรว่าคงจะต้องทำอะไรสักอย่างสองอย่าง
ก่อนไอ้อาการที่ว่าจะลุกลามและเลยข้ามมาข้างขวาแล้วกระมัง

11/11/2008

รูปไม่หล่อ





~สุขสันต์วันลอยกระทง~

แบบว่าจะหายตัวไปหลายวัน โดยเริ่มจากคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองนี้เป็นต้นไป
จะขึ้นไปปะปังกับลมหนาวที่คาดว่าจะหนาวเอาเรื่องสำหรับที่แม่สะเรียง เลี้อยต่อขึ้นขุนยวม เข้าเชียงราย ยังไม่มีกำหนดกลับตายตัว แต่คาดว่าคงไม่นานนัก กลัวแฟนๆ (ที่มีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ย) จะคิดถึง เลยถือโอกาสหยิบเอารูปขมๆ (แปลว่าไม่คมนัก-ขำๆ) ที่เคยถ่ายให้คุณ Really มาแปะไว้ให้ได้ดู ได้ชม และได้โหวตกันเล่นๆ โดยใช้ชื่องานว่า "โหวตให้รูปไม่หล่อเขาหน่อย" (ขออนุญาตนายแบบแล้ว นายแบบกัดฟันตอบว่าไม่มีปัญหา ^^)
ทำแบบสำรวจไว้ให้ได้โหวตกันทางด้านข้าง รูปไหนที่คิดว่า "ไม่หล่อ" ก็ติ๊ก (Click) ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นคนมีสีหรือไม่มีก็ติ๊กได้นะ ไม่เกี่ยง
นั่นหมายความว่ารูปที่มีคนติ๊กให้น้อยสุดก็เป็นรูปที่ผมถ่ายออกมาแล้วดูเหมือนจะ "หล่อ" สุด พอนึกออกป่ะ

งงมั๊ย? ไม่เป็นไร อย่าได้แคร์

แล้วเจอกันเน่อ~

11/07/2008

CHANGE = CHANCE


ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดาอย่างไร?

“…เปรียบเทียบง่ายๆ คนที่เป็นเซลส์ขายของ ที่วันหนึ่งขายได้ไม่ถึงเป้าแล้วหัวหน้ามาบอกว่า คุณไม่เหมาะกับงานนี้หรอก ออกไปซะ วินาทีนั้นคุณจะร้องไห้ เพราะรู้ว่ากำลังจะตกงาน แต่เมื่อคุณออกไปแล้ว คุณกลับค้นพบความสามารถว่าคุณเล่นแซกโซโฟนได้เก่งมาก จนมีคนชอบเยอะแยะไปหมด นั่นคือ change คุณอาจจะไม่เหมาะกับหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่ง เพราะบังเอิญขณะนั้น เวลาหรือโอกาสมันไม่เอื้อ แต่คนที่คิดในทางบวก เขาจะคิดว่าการเปลี่ยนแปลงคือการมีหน้าต่างแห่งโอกาสเปิดรออยู่หลายๆ บานทุกครั้ง เพียงแต่จะหาเจอหรือเปล่าว่าคุณเหมาะกับอะไร… this is change

ตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ บัญชา ชุมชัยเวทย์ นักวิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจมือฉมังของไทย ใน adB ฉบับที่ 15 (31 ตุลาฯ – 6 พฤศจิกาฯ 51)

อ่านแล้วสะกิดใจดี เลยนำมาเล่าสู่กันฟัง
เพราะในอากาศ นั้นย่อมมีโอกาส
และอากาศนั้นก็เปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ
ประสาอะไรกับฝนนอกฤดูกาล

มันมีให้เห็นอยู่บ่อยไป

11/01/2008

There's Something About ...


Well, ล่าสุดไปถ่ายรูปเพื่อใช้ทำ card แต่งงานให้กับพี่ทัชและพี่ก้อยมา
Concept ในการถ่ายที่พี่ๆ ทั้งสองระบุเน้นมาให้ก็คือ
“ถ่ายยังไงก็ได้ ขอแค่ไม่ฟุ้งฝัน ดูแล้วไม่เลี่ยน”
“Oh! Great that’s my style.”

ผมรู้จักกับคนทั้งคู่ตอนที่เริ่มทำงานใหม่ๆ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว
โดยผมอยู่บริษัทเดียวกันกับพี่ก้อย (Littlefing)
ส่วนพี่ทัช (Touch) คนรักของพี่ก้อยนั้นแกก็จะแวะเวียนมาเที่ยวเล่นที่ที่ทำงานเรา (Me and พี่ก้อย) บ่อยๆ We (พี่ๆ ทั้งสองและผม) always ไปเที่ยวและ eating out ในยามเลิกงานกันอยู่เสมอ ๆ ครั้งที่จำได้แม่นไม่ลืมคือวันที่เราไปลอยกระทงโต้รุ่งกันที่ Dreamworld ค่ำคืนนั้นสนุกและเปียกปอนเอาเรื่องเชียว that why เราสนิทสนมและพอรู้นิสัยใจคอกัน
So, การถ่ายในวันนั้นจึงค่อนข้าง be frank เป็นกันเอง และก็ต้อง thanks เจ้า “ถังไป่หู่” และ “ฟางซื่อยี่” baby ที่น่ารักของพี่ๆ เขาที่มา jam ด้วยใน frame (ช่วยสร้างความหฤหุนหรรษาฮาให้ไม่น้อยเลย) ^_^"

Few days after ขณะนั่งรถเมล์เอางานไปส่งที่ office ของพี่ก้อยแถวพระราม 4 (สำหรับคนที่ไม่เคยขึ้น- รถเมล์ราคา 10 THB แล้วนะ) กำลังนั่งหน้าเหนียวเหนอะหนะรับฝุ่นควันอยู่ DD บนรถ copy เด็ดๆ ก็พลันบังเกิด

“Blink!” หลอดไส้ประหยัดไฟในหัวผมกระพริบขึ้น
แล้วผมก็ใช้ความรู้ English เท่าที่พอมีอยู่ทั้งหมดขีดเขียนลงบนแผ่น CD
หลังจากขมวดเป็นปมอยู่ในหัวมาหลายป้ายก่อนจะคลี่คลายไปว่า

“Since the day their littlefingers locked,
their love has been in everlasting touch.”


แปลเป็นไทยก็ประมาณ

“ตั้งแต่วันที่คนทั้งคู่ได้เกี่ยวก้อยกัน
ก็สัมผัสได้ถึงสิ่งที่เรียกว่าความรัก”


Fi--na--le!