9/27/2011

Work Hard Play Harder!


ในบ่ายที่ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทาพาสเทล
แอบเห็นสาวๆ ที่ออฟฟิชนั่งเฉากันอยู่
พอหันไปเห็นตุ๊กตาขอขมาฯ เข้า
เราเลยนิดหน่อยหาเรื่องเขย่าอารมณ์เล่นกันขำๆ

< T_T >

.........

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาน้องพัฒน์โทร.มาถามว่าเราพอจะมีเวลาสัก 2-3 วันมั้ย จะให้ไปช่วยถ่ายรูปรีสอร์ทที่อุ้มผางให้หน่อย แต่ต้องลางานหนึ่งวันนะ เราก็ตอบไปว่าเอาสิ เรื่องโดดงานน่ะ ที่จริงเราไม่ค่อยถนัดนักหรอกนะ แต่เราชอบ (ฮา) อีกอย่างเรา 2 คนก็ไม่ได้เจอกันเลย ตั้งแต่พัฒน์ไปเรียนต่อที่อเมริกา จนเรียนจบกลับมานี่ก็เกือบ 6 ปีแล้วที่ไม่ได้เจอกัน ดีใจที่ยังคิดถึงกันและโทร.มานะคะ ; )

9/20/2011

Mellow





ร้านสวยดี-ชอบ-จับตากแดดซะหน่อยแล้วค่อยถ่าย-แจ่มเลย-งานนี้ถูกใจเรามาก

9/16/2011

feat. GAMMEmagie


รวมเรื่องสั้น ๓ เล่มในชุด "แฟนมูราคามิรวมหัว" ที่มีนักอ่านของเฮียมูมาร่วมมือแบ่งเรื่องสั้นกันไปแปลคนละเรื่อง พิมพ์ใหม่ครบทั้งชุดเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีเพื่อนร่วมงานใหม่เป็น นักออกแบบปกสามคนที่มาร่วมสนุกออกแบบปกใหม่ ผ่านการลงคะแนนเสียงเลือกจากผู้ Like เฟซบุคเพจของเรา
ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันทำให้วันนี้มาถึงอย่างราบรื่นสวยงามนะคะ..

(ภาพและข้อความข้างต้นจาก สนพ.กำมะหยี่ เฟชบุคแฟนเพจ)

------------------------------

คำสาปร้านเบเกอรี
The Second Bakery Attack

Haruki Murakami เขียน

ออกแบบปก : อุรุพงษ์ รักมิตร
รูปเล่ม : สิริมา สุวรรณไตรภพ
พิสูจน์อักษร : ประกายพฤกษ์ เบญจคีรี

-----------------

เอากะเขาจนได้เนะ ^__^

9/08/2011

おもしろいね..


เสร็จจากมื้อค่ำ เราก็โบกรถโดยสารกลับบ้านกัน
จำนวนคนบนรถไม่แออัดนัก เราเลือกนั่งเบาะคู่ที่ยังว่าง แล้วสานต่อบทสนทนา

ช่วงนี้ผมค่อนข้างมีเวลาเป็นพิเศษ เพราะงานฉบับหน้าทำเรื่องเกี่ยวกับบาหลี
ซึ่งนายพาครอบครัวเขาไปถ่าย (และเที่ยว) เอง ใช้เวลาที่โน่น 5 วัน ส่วนผมทำหน้าที่รักษาการแทนอยู่ที่นี่ ดู Youtube ไปพลาง เล่น Facebook ไปพลาง
แต่เป็นบาหลีที่ไม่มีอูบุดนะ ไปกับทัวร์ของ Wendy ซึ่งผมว่ามันน่าเบื่อออก มีแต่รูปโรงแรมดีๆ ร้านอาหารงามๆ แล้วก็โรงงานเฟอร์นิเจอร์จำพวกเซรามิกอะไรก็ไม่รู้ สปาเจ๋งๆ ยังไม่มีมาให้เห็นเลย ไปทำไมวะ

นั่นเลยเป็นเหตุที่ผมเลือกละเลยการกลับเข้าสำนักงานช่วงเย็น
หลังจากหาเรื่องออกมาเตร็ดเตร่ข้างนอกห้องปรับอากาศ
แล้วเลือกที่จะมานั่งรถราเล่นกับเธอที่ผมเล่า

แวบหนึ่งบนรถ ผมคิดอยากให้รถเมล์คันนี้มันวิ่งยาวไปถึงพิจิตร
แล้วผมจะสารภาพความในใจกับเธอในตอนที่เราถึงนครสวรรค์
เมื่อพิจารณาเองแล้วว่าลำพังระยะทางแค่เส้นเจริญกรุงนั้นมันคงไม่เพียงพอให้รวบรวมเอามวลความกล้าที่มีทั้งหมดแปรรูปเป็นคำพูดออกมาได้

ขอระยะให้ผมหน่อยเถอะ
และถ้าพูดออกไปแล้วเธอเห็นชอบเป็นใจนะ
ในตอนที่เราไปถึงพิจิตร ที่นั่นคงวิจิตรไม่เบาเลย ..สำหรับเรา

พูดก็พูด ผมไม่อยากให้เธอก้าวลงจากรถเลย เราน่าจะได้ไปต่อกัน
ถ้าจะพูดให้ถูกที่สุด
เป็นผมเองแหละ ที่ไม่อยากนั่งรถโดยสารตามลำพังอีกต่อไปแล้ว
มันน่าหน่ายเหลือเกิน เวลาถึงที่หมายแล้วมีคำทักถามด้วยน้ำเสียงเชิงคาดหวัง (แล้วก็ต้องผิดหวังกลับไปตามระเบียบ) ว่า 'อ้าว มาคนเดียวเหรอ'

คุณน่าจะรู้ มันรื่นชื่นหูจริงๆ นะ เวลาที่ผมเป็นฝ่ายรับฟังเธอเล่าเรื่องราวร้อยแปด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคู่สี หมอตาทิพย์จัดกระดูก การหายใจที่ถูก เพื่อนพ้องของเธอ หรือเรื่องงานประติมากรรมบนดวงจันทร์

おもしろいね.. 

ส่วนผมน่ะรู้อยู่แล้ว ว่าอู่รถคันที่เรากำลังนั่งมันอยู่แค่ถนนตก และคงเป็นเรื่องตลกหากจะบ้าจี้เดินไปกระซิบบอกพี่โชเฟอร์ด้วยน้ำเสียงที่แอบซ่อนความวิงวอนไปด้วยว่า 'เอ่อ.. คือรบกวนคุณพี่ช่วยขับต่อเลยไปจนถึงพิจิตรได้ไหมครับ'

ไม่ล่ะ นั่นมันดูเป็นภูเก็ตแฟนตาซีเกินไป
ถ้าจะขอ ผมขอพี่เขาง่ายกว่านั้น
เพียงน้ำเปล่าแก้วเดียวจากกระติกคู่ใจข้างกายของพี่เขา
เพื่อที่พร้อมจะหยิบยื่นให้เธอยามกระหาย ไม่ว่าจะเป็นตอนไหนหรือที่ใด

เออพี่ พี่ครับ พี่คนขับ
ผมสัญญาว่าครั้งหน้าจะเตรียมมาเองให้พร้อม

9/01/2011

คิดถึงอาตี

ผมไม่มีไอพอด ไอแพด หรือสมาร์ทโฟนไว้จิ้มเล่น
เลยใช้วิธีอ่านหนังสือในระหว่างที่ว่างเวลาเดินทางแทน
เล่มที่ผมอ่านอยู่ ณ ปัจจุบันชื่อ “เมนูปรารถนา” ของคุณฮิมิโตะ ณ เกียวโต
(หรือในอีกนามปากกาว่า คำ ผกา)
ชอบในสำนวน และพยายามหาผลงานของเธอมาอ่านอยู่เรื่อยๆ

ในเล่มนี้ บทหนึ่งที่ชื่อว่า “น้ำพริกน้ำทิพย์” เธอเขียนเล่าถึงเรื่องที่เธอมีโอกาสได้ไปลิ้มชิมเมนูน้ำพริกของเด็กสาวชาวอาข่า ซึ่งส่วนผสมหลักของน้ำพริกที่ว่าก็คือ เกลือกับผงชูรส เด็กสาวบอกว่าทำ/ตำน้ำพริกนี้ไว้จิ้มกินทีไรก็จะนึกถึงพ่อ เพราะพ่อเธอทำน้ำพริกสูตรนี้ให้เธอกินประจำสมัยเด็กๆ

พอได้เห็นวลี “เกลือกับผงชูรส” แล้วผมก็นึกถึงอาตีขึ้นมาทันที

อาตีก็เป็นชาวอาข่าเช่นกัน มีลูกสาวน่ารักมากๆ (และก็ซนมากๆ) ชื่อว่าอาบู๊ยา
(ซึ่งตอนนี้ก็น่าจะโตกว่าเดิมมากแล้ว)
ผมเคยได้รู้จักและร่วมงานด้วยตอนขึ้นไปตะลอนถ่ายรูปพี่น้องชนเผ่าต่างๆ ที่เชียงราย ซึ่งการทำงานรอบนั้นก็ได้อาตีนี่แหละเป็นคนนำทางให้ เราเคยได้นั่งคุยกันบนเฉลียงหน้าบ้านของสมชายที่หมู่บ้านจะแลในวันที่ฝนตกเจื้อยแจ้ว
ผมชวนคุยถึงเรื่องราวเมื่อครั้งที่อาตียังอยู่บนดอยก่อนที่จะลงมาทำงานพื้นราบกับกระจกเงา เรื่องหนึ่งที่อาตีเล่าให้ฟังและผมจำได้แม่นยำเลยก็คือเรื่องเกลือกับผงชูรสอย่างที่เกริ่นไว้

อาตีเล่าว่าตอนที่อยู่บนดอย อาหารการกินนั้นอุดมสมบูรณ์มาก
ข้าวก็ปลูกกินเอง เลี้ยงไก่เลี้ยงหมู ดักปลาเอาในแหล่งน้ำลำธาร นึกสนุกก็เข้าป่าไปหาอาหารเอา ขุดเผือกขุดมันกินกันไปตามประสา พืชผักผลไม้มีมากมายกินไม่หวาดไม่ไหว นานๆ ทีนั่นแหละจึงจะลงจากดอยเข้าเมืองมาซื้อของ
และของที่ซื้อกลับขึ้นไปบนดอยเมื่อเข้ามาตลาดในเมืองก็มีอยู่แค่สองอย่างอย่างที่บอกไป

คือเกลือ กับผงชูรส