6/26/2007

กินข้าวกันมั๊ย Gohan Tabenai!?





Wagyu

Wagyu (和牛, wagyū?) refers to several breeds of cattle genetically predisposed to intense marbling and to producing a high percentage of oleaginous unsaturated fat. Also known as Kobe-style beef, the meat from Wagyu cattle is known worldwide for its marbling characteristics, increased eating quality through a naturally enhanced flavor, tenderness and juiciness, and thus a high market value. Grocery stores in the United States will sell cuts of American Wagyu for $40/lb to $150/lb.

Because of the Wagyu cattle's genetic predisposition and special diet including beer and sake, wagyu yields a beef that contains a higher percentage of omega-3 and omega-6 fatty acids than typical beef. The increased marbling also improves the ratio of monounsaturated fats to saturated fats.

There are four major breeds of Wagyu (wa means Japanese, and gyū means cattle, or simply "Japanese cow") : Japanese Black, Japanese Brown, Japanese Polled, and Japanese Shorthorn. Japanese breed names include: Tajima, Tottori, Shimane, Kochi and Kumamoto.

ที่มา: http://en.wikipedia.org/wiki/wagyu

6/22/2007

เรื่องเหล้าจากเมืองเหนือ






คำเตือน : “การดื่มสุราทำให้สุราลดลง”

ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาผมพบว่าการกินดื่มกับทีมงาน River No. 6 อีกครั้งที่เชียงใหม่ในช่วงสงกรานต์ที่ผมติดสอยห้อยตามทีมงานไปหา The front of 13 นั้นมันช่างเพลิดเพลินเจริญดริ้งก์เสียจริงๆ มันทำให้ภาพการล้อมวงนั่งลงกินดื่มกับสหายเก่าในช่วงวัยคะนองกลับมาอีกครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่ในช่วงหลังจำนวนสมาชิกในการกินดื่มเริ่มลดน้อยลงอย่างไม่มีปี่และไม่มีขลุ่ย คงเพราะการงาน และความคล่องตัวในการเดินทาง ซึ่งสหายทั้งหลายนั้นต่างก็มีความต่างของระยะทางในการพบเจอกันไปตามสภาพกาล

“อะไรๆ แ_ งก็ไม่เหมือนเดิม” The front of 13 พูดกับผมตรงเชิงบันไดทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพซึ่งเราทั้งสองขอตัวนั่งรออยู่ทางด้านล่าง ขณะที่ทีมงาน River No. 6 ที่เหลือขึ้นไปนมัสการองค์พระธาตุฯ ด้านบน
“หลังๆ กินเหล้ากับพวกมึงไม่สนุก มันดูชีวิตไปหน่อย” The front of 13 อธิบายต่อเมื่อผมถามว่ามันไม่เหมือนเดิมยังไง

มันดูชีวิตไปหน่อย – ผมนึกทวนคำที่เพื่อนบอก

อันที่จริงผมเข้าใจและเห็นตามที่มันบอก แต่ก็อย่างที่ว่า อะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิม สหายหลายคนต่างเดินไปตามเส้นทางของตัวเอง เจอเพื่อนใหม่ เจอสังคมใหม่ ชีวิตเปลี่ยน บางคนจริงจังกับชีวิตมากขึ้นตามขวบปีที่เพิ่ม บางคนเหลวไหลเหลาะแหละไม่เหลือเค้าโครงเดิมที่เคยรู้จัก เป็นเรื่องง่ายๆ หลายสิ่งหลายอย่างต้องดำเนินต่อไป จะมัวมาหวนคำนึงถึงคืนวันเก่าๆ คงไม่มีประโยชน์ แต่ก็อีกนั่นแหละ วันคืนเก่าๆ มักหอมหวานเสมอ ต่างจากรสชาติชีวิตที่มักขม (ขื่นและต้องฝืนทน) บางครั้งบางคราวคนเราก็ต้องหาอะไรที่มันไม่มีประโยชน์ใส่ตัวบ้าง

สุราหรือเหล้ารวมถึงเบียร์ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกเหล่านั้น

แม้ว่าไม่ได้มีโอกาสได้ร่วมดื่มกับ The front of 13 และทีมงาน River No. 6 บ่อยครั้งนัก เนื่องจากข้อแม้หลากหลายของตัวเอง แต่ในทุกครั้งที่มีโอกาส ผมมักไม่ผิดหวังกับการดื่มของทีมงาน River No. 6 เสมอ
“แ_กเหล้าต้องแ_กให้เมา แ_กไม่เมาแ_กทำไม”
ประโยคค่อนข้างคลาสสิกในวงถูกหยิบขึ้นมาพูดโดย The front of 13 ในทุกครั้งที่บรรยากาศในวงเริ่มสั่นคลอนหลังการจากไปของเหล้า (หลาย) ขวดที่ตั้งอยู่กลางวง และก็จะเป็นความโชคร้ายที่จะกลายเป็นดีของใครบางคนในวงที่จะต้องออกไปกระจายรายได้อันน้อยนิดแก่ร้านค้ายามค่ำคืน เพื่อฟื้นเสียงหัวเราะในวงให้กลับมาอีกครั้ง

ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาผมพบว่าการกินดื่มกับทีมงาน River No. 6 นั้นมันช่างเพลิดเพลินเจริญดริ้งก์เสียจริงๆ

ผมหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาจิบรสชาติของมันอีกครั้งหลังจากหลายครั้งก่อนหน้านั้น

แปลกแต่จริง... มันหวาน

6/14/2007

กับหมา กับผ้าขาวม้าหนึ่งผืน


1.
ส่วนหนึ่งจากความเรียงเรื่อง “เครื่องประกันความหวั่นไหว” โดยกระบี่ไม้ไผ่ ได้เขียนถึงความสุขไว้ โดยอ้างถึงคำสอนจากพระธรรมปิฎกว่า จังหวะของความสุขนั้นมีอยู่ 3 ท่วงทำนองด้วยกัน หนึ่งคือ ความสุขจากการเสพวัตถุ สอง ความสุขจากคุณธรรม และสาม ความสุขจากปัญญา

“ความดีก็เหมือนกัน ถ้าทำไปแล้วคนอื่นไม่เห็นไม่ชื่นชม บางทีใจเราก็หม่นหมองไปด้วย จึงเรียกว่า เป็นความสุขที่ยังอิงอาศัยอยู่ ฉะนั้นเราจึงต้องก้าวต่อไป
สู่การมีปัญญารู้ความจริงของสิ่งทั้งหลาย รู้ว่าธรรมดาของสิ่งทั้งหลายก็เป็นอย่างนี้ ไม่ว่าอะไรที่เป็นสังขาร จะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม เป็นความชั่ว ความดี เป็นวัตถุหรือเป็นจิตใจ มันก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งนั้น เมื่อรู้แล้วก็จะเข้าถึงกระแสของธรรมชาติ... พอปัญญารู้เท่าทันมันแล้ว เราก็วางใจได้ รู้สึกเบาสบาย เราก็รู้เพียงแต่ตามความเป็นจริงว่า เวลานี้สิ่งนี้มันเป็นอย่างนี้ มันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน เมื่อรู้ทันแล้วสิ่งนั้นก็ไม่ย้อนมาทำพิษแก่จิตใจของเรา ใจของเราก็เป็นอิสระ ความสุขที่มีปัญญารู้เท่าทันพร้อมอยู่จะไม่ต้องพึ่งอาศัยสิ่งใดอีก มันจะเป็นความสุขที่เต็มอยู่ในใจเรา และเป็นสุขที่มีอยู่ประจำอยู่ตลอดเวลา”

ความสุขที่แท้จริง – พระธรรมปิฎก

2.
ควันจากท่อไอเสียอบอวลครอบคลุมไปทั่วเกิดเป็นภาพสลัวมัวมึน เสียงแตรรถดังเป็นระยะคล้ายการด่าทอกันไปมา แสงสีของจอมอนิเตอร์เล็กใหญ่กับป้ายโฆษณาหลายหลากตามท้องถนนสว่างวาบแยงตา ฝูงหญิงชายเด็กเล็กคนชราเดินไปมาขวักไขว่ไร้สัมพันธ์ ไอระอุล่องลอยขึ้นจากพื้นถนนคอนกรีตในมหานคร ส่งผลให้ค่ำคืนร้อนอบอ้าวกว่าปกติ ความเหนื่อยเพลียจากการงานตลอดวันของชายหนุ่มรับส่งกับบรรยากาศชวนฝันร้ายภายนอก แสงสีเสียงเหล่านั้นกำลังขับกล่อมมอมเมาเขาให้เข้าสู่ภวังค์ภายใต้อ้อบกอดของเมือง

วันแล้ว วันเล่า...

ชายหนุ่มกำลังนั่งรถเมล์กลับบ้าน
............

3.
ในทุกครั้งทันทีที่ย่างเท้าเข้าสู่บริเวณบ้าน ผมจะตรงเข้าไป “หลังบ้าน” ที่ๆ ก๋งใช้เป็นที่พำนักพักอาศัยในช่วงเวลากลางวัน และเอ่ยคำทักทายสวัสดีก๋งเป็นคนแรกของบ้านเสมอ ซึ่งผมคิดไปเองว่าในช่วงเวลาแห่งความชราแบบนี้ สิ่งที่ก๋งคงอยากเห็นและได้ยินน่าจะเป็นหน้าตาซุ่มเสียงของลูกๆ หลานๆ เช่นผมมากกว่าเสียงจากลำโพงวิทยุหรือภาพจากโทรทัศน์

หลังบ้านที่ว่าก็จะเป็นบ้านเล็กๆ สไตล์ "Unpnang" แปลเป็นไทยได้ว่า "ไร้ผนัง" ตกแต่งแบบ "Minimalism" แปลเป็นไทยได้อีกว่า "แต่พองาม" คือมีน้อยแต่งน้อย มีเยอะก็แต่งน้อย สร้างโดยทีมงานช่างแถวบ้านที่รู้จักคุ้นเคยกัน ร่วมด้วยแรงงานของพ่อผมอีกแรง ใช้เวลาสร้างไม่นาน เพราะไม่ได้มีความซับซ้องในโครงสร้าง มีแค่หลังคากันแดดกันฝนที่ทนทานหน่อยก็เป็นอันใช้ได้

ก๋งไม่ชอบอยู่ในบ้าน คงเป็นเพราะอึดอัด ผมเองคิดว่าหลายคนก็คงเป็นเช่นนั้น เราควรพาตัวเองอยู่ในที่โปร่งโล่งสบายมากกว่าถ้ามันไม่ลำบากนักในการเลือก
ในช่วงเช้ามืดของทุกวันก๋งจะตื่นจากห้องนอน แล้วออกมาหลังบ้านเพื่อต้มข้าวให้หมา ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างนาน ต้มหกโมงก็จะไปเสร็จราวเก้าโมง ก๋งบอกว่าต้มนานนานมันขึ้นหม้อดี มันไม่แข็ง ซึ่งในหนึ่งวันก็จะต้มสองรอบ เช้ากับบ่าย เรียกว่าช่วงที่ว่าเป็นเวลาทองของน้องๆ ชาวแก๊งเลยทีเดียว

ผมแอบยืนดูก๋งต้มข้าวหมาอยู่นาน ภาพของก๋งเรียบนิ่ง ทุกสิ่งรอบๆ ดูผ่อนคลายสบาย ในหัวก็คิดโน่นนี่ไปเรื่อย หนึ่งในเรื่องหลากหลายในหัวก็คือ ณ ตอนนั้นผมจะกำลังทำอะไร ที่ไหน อย่างไรหนอ ภาพที่จะปรากฎต่อหน้าเด็กหนุ่มในยุคสมัยถัดไปจะเป็นภาพแบบไหนกัน จะแตกต่างไปจากภาพที่ผมเห็นที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้แค่ไหน และใครคนนั้น ตอนนั้นจะรับรู้ได้ถึงความสุขที่เกิดขึ้นแบบผมหรือเปล่า

คุณวินทร์ เลียววาริณเคยเขียนไว้ว่า ความสุขเป็นเรื่องเล็กๆ ที่เกิดจากสิ่งเล็กๆ
เรียบง่าย พอเพียง ลงตัว ไม่มากเกิน ไม่น้อยไป

ผมพอจะเข้าใจจากภาพที่เห็น

มีแค่ผ้าขาวม้าเก่าๆ หนึ่งผืนกับหมาคู่บุญอีกสองสามตัวก็คงเพียงพอแล้ว

6/13/2007

Jazz up your life









JAZZ

Jazz is a musical art form that originated in New Orleans, Louisiana, United States around the start of the 20th century. Jazz uses improvisation, blue notes, swing, call and response, polyrhythms, and syncopation, and blends African American musical styles with Western music technique and theory.

ดนตรีแจ๊สมีต้นกำเนิดราวทศวรรษ 1920 โดยวงดนตรีวงแรกที่นำสำเนียงแจ๊สมาสู่ผู้ฟังหมู่มากคือ ดิ ออริจินัล ดิกซีแลนด์ แจ๊ส แบนด์ (The Original Dixieland Jazz Band: ODJB) ด้วยจังหวะเต้นรำที่แปลกใหม่ ทำให้โอดีเจบีเป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างมาก พร้อมกับให้กำเนิดคำว่า "แจ๊ส" ตามชื่อวงดนตรี โอดีเจบีสามารถขายแผ่นได้ถึงล้านแผ่น

รากลึกของแจ๊สนั้นมีมาจากเพลงบลูส์ (Blues) คนผิวดำที่เล่นเพลงบลูส์เหล่านี้เรียนรู้ดนตรีจากการฟังเป็นพื้นฐาน จึงเล่นดนตรีแบบถูกบ้างผิดบ้าง เพราะจำมาไม่ครบถ้วน มีการขยายความด้วยความพึงพอใจของตัวเองเป็นหลัก ซึ่งกลายเป็นที่มาของคีตปฏิภาณ (Improvisation)

ในภายหลังดนตรีแร็กไทม์ (Ragtime) ก็เชื่อว่ามีต้นกำเนิดคล้ายๆ กันคือ เกิดจากดนตรียุโรปผสมกับจังหวะขัดของแอฟริกัน บลูส์และแร็กไทม์นี่เองที่เป็นรากของดนตรีแจ๊สในเวลาต่อมา

เพลงบลูส์เริ่มได้รับความนิยมในช่วงเวลาเดียวกันกับแร็กไทม์ ในช่วงปลายทศวรรษ 1910 เพลงบลูส์และแร็กไทม์ถูกผสมผสานจนกลมกลืนโดย บัดดี โบลเดน (Charles Joseph 'Buddy' Bolden) เป็นผู้ริเริ่ม หากแต่เวลานั้นยังไม่มีการประดิษฐ์คำว่าแจ๊สขึ้นมา และเรียกดนตรีเหล่านี้รวมๆ กันว่า "ฮ็อต มิวสิก" (Hot Music) จนกระทั่งโอดีเจบีโด่งดัง คำว่า แจ๊ส จึงเป็นคำที่ใช้เรียกขานกันทั่ว แจ๊สในยุคแรกนี้เรียกกันว่าเป็น แจ๊สดั้งเดิม หรือ นิวออร์ลีนส์แจ๊ส

ที่มา: http://en.wikipedia.org/wiki/Jazz

6/07/2007

POP Concert (คอนเสิร์ตของป๊อบ)





หมอกจางๆ และควันที่มันดูคล้ายกันจนบางทีไม่อาจรู้ได้ ค่อยๆ เลือนหายไป
เบื้องหน้าผมค่อยๆ ปรากฎภาพสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่เคลื่อนไหวไปมาท่ามกลางแสงไฟ เคล้าด้วยเสียงเพลง... ผมปรับโฟกัสสายตาอีกที
อ้าว! ไอ้__ป๊อบ!?!

คุณน้องป๊อบโทรมาชวนไปดูโชว์แรกในชีวิต (แต่มันใช้คำว่าคอนเสิร์ตแรก) ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมของโครงการ “อ้วนฝัน ปั้นดาว” ในชื่อภาษาสากลว่า "Fat Thing You Do" ซึ่งจัดโดย สถาบันลดน้ำหนัก (หรือสถาบันลดความอ้วนในภาษาบ้าน) "Marie France Body Line" โดยจะออกอากาศทางเคเบิ้ลทีวี
ซึ่งภายใน 12 สัปดาห์นั้นทางแมร์รี่ ฟร้านฯ จะมีกิจกรรมต่างๆ ให้ผู้เข้าแข่งขันปฏิบัติ โดยจะเปลี่ยนโจทย์ของกิจกรรมไปทุกสัปดาห์ เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพเขาและเธอเหล่านั้นให้ดูดีขึ้น หนึ่งในนั้นคือการแสดงความสามารถทางการร้องเพลงบนเวทีต่อสาธารณะชน ในทุกสัปดาห์เพื่อคัดคนออก ลักษณะเดียวกับ UBC Academi Fantasia รายการยอดนิยมของคนวัยมันส์

เพื่อนผมผ่านเข้ารอบสิบคนสุดท้ายจากผู้สมัครหลายสิบคน และคืนวันนั้นเป็นคอนเสิร์ตแรก (ขออนุญาตเรียกตาม)

คืนนั้นป๊อบเลือกร้องเพลงเผลอของคุณพี่นภ พรชำนิ ซึ่งเป็นไอดอลในการโชว์
แม้ว่าจะร้องได้ห่วยแ_กมากในสายหูของผม (ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ผมล้อเล่น)
แต่ในสายตา ผมมองเห็นบรรยากาศของความสุขบางอย่างที่มีอยู่รอบตัวของเพื่อนที่กำลังทำการแสดงอยู่บนเวที

แก้มเนียนนุ่มของผมแทบปริเมื่อนั่งดูเพื่อนสนิทร้องรำทำเพลงอยู่ในอีกโลกหนึ่ง
โลกที่ผมเรียกมันว่า “โลกของความฝัน”

“มึงกำลังจะเป็นนักร้องแล้วเหรอ” ผมถามเพื่อนหลังจากที่มีโอกาสได้คุยกันเวลาสั้นๆ ทางโทรศัพท์ (มันไม่ค่อยว่าง มันบอกช่วงนี้ติดถ่าย สงสัยท้องเสียบ่อย)
“ฝันกูใกล้เป็นจริงแล้วว่ะ ตอนนี้เซ็นสัญญากับทางแมร์รี่ ฟร้านฯ แล้ว สัญญาสองปี เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับทางแมร์รี่ ฟร้านฯ ได้ออกเทปด้วยนะมึง อัลบั้ม Fat Thing You Do ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะได้ออกเทปกับเค้า”

ผมยินดีกับเพื่อนตัวใหญ่คนนี้จากใจ

สมัยเที่ยวเล่นอยู่ที่บางแสนมันมักจะแหกปาก (จริงๆ) ร้องเพลงอยู่เสมอ หนึ่งน่าจะมาจากการที่ชอบดนตรี ชอบเสียงเพลง ก็เลยร้องตาม ลามมาเป็นชอบร้องเพลง ร้องโน่นนี่ไปเรื่อยตามประสา
สองคือ มันฝันอยากเป็นนักร้อง...

ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่มีความฝัน หากกล้าฝัน กล้าที่จะเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น และพร้อมยอมรับผลที่จะตามมาได้

สักวันคงได้เจอกับเพื่อนตัวใหญ่ของผม ซึ่งบางทีตอนนั้นมันอาจจะตัวเล็กลงบ้างไม่มากก็น้อย

ฝากทักมันด้วยล่ะ : )

6/04/2007

เมื่อรัก (เล็กๆ) ฉันเกิด



น้ำตาของเธอไหลพราก เมื่อการมาถึงของห้วงนาทีที่ต้องเอ่ยวลี “ลาก่อน”
แล้วเธอก็จากไป ผมยังจำวันแรกที่เราพบกันได้

…………

“ชื่อเมงูมิใช่มั๊ย?”
นั่นคือประโยคแรกที่ผมทักเธอทั้งสาม (จริงๆ ผมทักคนเดียวเพราะรู้จักชื่อผ่านมาจากพี่ชายที่พักอยู่ด้วยกัน แต่ใจอยากรู้จักทั้งสามคนอยู่ลึกๆ) ออกไปในวันแรกที่เราเจอกัน
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ”
เธอตอบกลับผมพร้อมรอยยิ้ม
“ฉันชื่อเมงูมิค่ะ นี่เอริค่ะ และนี่ชิโฮะ”
จากนั้นความสัมพันธ์ของเธอทั้งสามคนกับผมก็เริ่มขึ้น...
เช่นกัน จากนั้นความสัมพันธ์ของเธอกับผมก็เริ่มขึ้น...
กับเธอ... ชิโฮะ ไคโฮ (Chiho Kaiho)

เธอทั้งสาม เอริ เมงูมิ และชิโฮะเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์บ้านเราเพื่อศึกษาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันและกัน รวมระยะเวลาทั้งสิ้นสิบเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว (2006)
ถึงพฤษภาคมปีนี้ (2007)
เอริกับเมงูมิมาเข้าพักที่อพาร์ทเม้นเดียวกันกับผมจากการแนะนำผ่านรุ่นพี่คนหนึ่งของพวกเธอ หลังจากนั้นไม่นานนักชิโฮะก็ตามมาพักด้วยกัน
นั่นคือสาเหตุที่เราทั้งสี่รู้จักกัน
หลังจากวันนั้น เราก็ติดต่อพูดคุยกันอยู่เป็นนิจ นัดพบเจอ เที่ยวเล่นกันอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะกับนางสาวชิโฮะ

ชิโฮะ เป็นคนมีเสน่ห์น่าพิสมัยกว่าเอริกับเมงูมิอยู่นิดหน่อย เธอเป็นคนที่เรียนและทำงานพิเศษอย่างหนัก แต่ก็เต็มที่กับการเที่ยวทุกรูปแบบเช่นกัน ส่วนอีกสองคนนั้นเรียกว่าเรียบง่ายไม่หวือหวาวูบวาบเท่าเธอ
“อยู่เมืองไทยไม่นาน ถ้าทำอะไรได้ก็อยากทำให้เยอะๆ”
เธออธิบายให้ฟัง
ใจไหวแต่บางครั้งร่างกายก็ไม่พร้อม
ช่วงหนึ่งเธอป่วยสาเหตุจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่นั่นเหมือนไม่มีผลกระทบกับเธอเท่าไรนัก หายไข้เธอก็เต็มที่กับชีวิตอีกครั้ง
ผมชอบเธอ

สิ่งหนึ่งที่เก็บวันเวลาของเราทั้งสองตลอดมาน่าจะเป็นข้อความเหล่านั้น ข้อความที่เราส่งให้กันและกัน ไล่เรียงมาตั้งแต่วันลอยกระทง, วันเกิดผม วันเกิดเธอ,
คริสตร์มาส, ปีใหม่, วาเลนไทน์ และอีกในหลายๆ วันเรื่อยมาจนคืนก่อนลา

"Prungnii are u free?! I wanna go to loykrathong with u and khun oo and pii dream, of caurse with camera, take pic and see thai romantic nite."
ผู้ส่ง: Chiho
+66877048845
4 Nov 2006
14:43:24


ผมกับชิโฮะได้มีโอกาสได้สืบสานประเพณีลอยกระทงเมื่อวันเพ็ญเดือนสิบสองครั้งก่อนด้วยกัน เนื่องจากเธอต้องทำรายงานเรื่องนี้ด้วย เธอจึงชวนผมและพี่ที่รู้จักกันมาร่วมกิจกรรมงานประเพณีนี้ด้วยกัน

นานมากแล้วที่ผมไม่ได้ร่วมงานประเพณีนี้ เนื่องจากตามความเหมาะสมประเพณีควรปฏิบัติกันอย่างต่ำสองคนขึ้นไป (คู่หนึ่งน่าจะเหมาะที่สุด เพราะไปเป็นหมู่คณะดูจะอึกทึกไป) ซึ่งผมก็ร้างราจากงานประเพณีที่มามาตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน (จริงๆ ก็ไม่มีคู่นั่นแหละ)
คืนนั้น... วันที่พระจันทร์เต็มดวงคืนนั้นผมมีความสุขมากเหลือเกิน

หลังจากคืนนั้นผมก็ยิ่งชัดเจนขึ้นในความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อได้พบกับเธอ
ผมยิ่งชอบเธอมากขึ้น
หัวใจที่แห้งผากมานาน แม้น้ำเพียงหยดเล็กๆ ก็สามารถทำให้มันชุ่มช่ำได้

วันเวลาดำเนินและเป็นไปของมันอย่างเคย ไฉนเลยจะเรียกร้องกลับคืน

สิบเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก ใครที่ไม่ต้องประสบกับการลาจากคงเห็นว่ามันเป็นสำนวนนิยายน้ำเน่าคร่ำครึ
แต่กับคนที่ต้องเจอ มันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจนแทบไม่อยากให้วันคืนแห่งการร่ำลามาถึง

“ไม่อยากกลับเลย ชิโฮะไม่อยากกลับเลย”
ภาษาไทยสำเนียงญี่ปุ่นรำพันออกมาตลอดเวลาที่สนามบิน
น้ำตาของเธอไหลพราก เมื่อการมาถึงของห้วงนาทีที่ต้องเอ่ยวลี “ลาก่อน”
แล้วเธอก็จากไป ผมยังจำวันแรกที่เราพบกันได้

…………

คืนนั้นหลังกลับจากส่งเธอที่สนามบิน ตลอดทางเราโดนกระหน่ำด้วยฝนอย่างหนัก ฝนที่ตกต่อเนื่องในเมืองไทยมาตั้งแต่ปลายเดือนสาม มันเล่นงานเราตั้งแต่ออกจากสนามบิน ผมนั่งอยู่ริมกระจกในรถแท็กซี่กับเพื่อนๆ ของเธออีกสี่คน เราต้องกลับเข้าเมืองด้วยกัน พวกเพื่อนๆ ของเธอยังไม่มีกำหนดกลับช่วงนี้
ตลอดทางกลับเพื่อนๆ ของเธอสนทนากันด้วยภาษาของพวกเธอ ภาษาที่เป็นสำเนียงเสียงเดียวกัน“เธอ”คนที่เพิ่งลาจากกันที่สนามบิน

เธอ...คนที่อยู่ในใจผมตลอดสิบเดือนที่ผ่านมา
เธอ...คนที่ส่งสำเนียงเสียงภาษาแบบเธอให้ผมได้ยินอยู่บ่อยครั้ง
เธอ...คนที่ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของหัวใจตัวเอง

มองออกไปนอกรถ ภาพของกรุงเทพฯ ยามราตรีค่ำคืนนั้นรู้สึกได้ถึงความหม่นเศร้า และเหงาอย่างจับใจ
น้ำตาก็พลันไหลออกมา เมื่อนึกถึงเธอ
ผมรำพึงในลึกๆ ของหัวใจเป็นสำเนียงของตัวเอง
“ซาโยนาระ”

僕はまだあなたのことが好き。
聞こえてる?
あなたがどこにいても、僕はあなたのことをいつも考えてる。
聞こえてる?
僕はあなたに会いたい...


จะเป็นไรไป ก็แค่กลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง...

ได้แต่หวังว่าวันเวลาที่ฝนจางปีนี้ หัวใจผมคงจะดีขึ้น