11/10/2009

ศรัณย์เฮโย

"เมื่อสองสามวันก่อนกูตื่นมา แล้วก็เดินไปเปิดหน้าต่างห้องนอน โดนลมหนาวงี้กระแทกหน้าเข้าอย่างจัง แต่แปลกเว้ย กูกลับไม่รู้สึกเจ็บหรืออะไรว่ะ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง กูเลยหันกลับไปมองบนเตียง เห็นณีนอนอยู่กูถึงได้เข้าใจ...
ดูท่าว่าหน้าหนาวปีนี้กูคงไม่หนาวเสียแล้วว่ะเพื่อน ฮ่า ฮ่า"


ไอ้รัณมันว่าอย่างนั้น
เรียกเสียงหัวเราะระลอกใหญ่ในคืนที่เรากำลังร่ำสุราเบาๆ อยู่ใต้ต้นขนาดย่อมๆ ของกันเกลาตรงชานบ้านหลังที่มันกับณีร่วมด้วยช่วยกันปลูกสร้าง
และก็เป็นหลังเดียวกันกับที่คนทั้งสองนั้นใช้เป็นเรือนหอ
เพลินเขาล่ะ

.........

ศรัณย์สละโสดไปแล้วในวัย 29 ปี 2 เดือน
เจ้าสาวแสนสวยผู้โชคดีที่เพิ่งได้ชายผู้มีชื่อแปลได้ว่า ‘ที่พึ่งได้’ เพื่อนผมไปครอบครองเป็นคู่ครองโดยความสมยอมของมันเองมีชื่อว่าดรุณี
ระยะทางความรักของทั้งคู่ก่อนจูงมือกันลั่นระฆังวิวาห์บันทึกสถิติไว้ที่ 10 ปี…

สิบปี!!!

10 ปีนานแค่ไหน
วัดเอาจากตัวเองเป็นเกณฑ์
10 ปีมานี่ผมโละชุดความคิดทิ้งไปหลายชุด ปรับและเปลี่ยนมุมมองต่อสิ่งต่างๆ รอบๆ ข้างไปหลายขนาน
ชุดความรู้ความเข้าใจใหม่ๆ จากการศึกษาทั้งในและนอกตำรา และประสบการณ์ต่างๆ ที่เข้ามาในช่วงชีวิตระหว่างนั้นเป็นเครื่องมือในการช่วยถอดถอนเอาใจที่เคย ‘ปัก’ ลงกับความเชื่อและความเข้าใจเก่าๆ ต่างๆ ออกอย่างช้าๆ
ความคิดอ่านของผมในวันนี้แตกต่างจาก 10 ปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง
โดยเฉพาะกับ ‘ความรัก’
อย่างเท่าที่พอจะเข้าใจ
มันถูกกลั่นและกรองเอามุมในการมองความสัมพันธ์แบบเดิมๆ ไปจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม
ปัจจุบันผมมีความเชื่อที่ว่าใครก็ตามที่วู่วามในความรักมักวอดวาย
เพราะเท่าที่เห็น (ด้วยความเคารพ— ขอย้ำว่าเท่าที่เห็น) มีน้อยกว่าน้อยที่คบกันยืดยาวเกิน 4 ปี

โดยที่ไม่ต้องตรวจคำตอบหรือทดสอบสมมุติฐานให้เสียเวลา
ชีวิตรักที่คงมั่นกว่าทศวรรษของศรัณย์นั้นได้บอกบางอย่างกับแขกเหรื่อที่ไปร่วมเป็นสักขีพยานในวันงานวันนั้นอย่างล้นเหลือด้วยตัวของมันเอง
ผมว่าความซื่อสัตย์และแน่วแน่ในความรักนั้นสำคัญอย่างยิ่งยวดในการขับเคลื่อนชีวิตคู่ให้คงทน

คนเราจะมั่นคงและจงรักภักดีกับความรักได้นานแค่ไหนกัน
4 ปีกับ 10 ปีนั้นมันคนละเรื่อง

ผมนึกถึงคำกล่าวของเพื่อนอีกคนที่เคยประกาศ (กร้าว— อย่างสุภาพชน) ในวันแต่งงานในวัยที่เพิ่งจบ ม. ปลายหมาดๆ และมีเสียงคัดค้านทัดทานจากผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างหนาหูว่า “เร็วเกินไป”
คำที่เพื่อนผู้เป็นเจ้าบ่าวกล่าวบนเวทีในวันงานวันนั้นก็คือว่า จะช้าจะเร็วนั้นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรเลย เพราะยังไงๆ เสียแล้วก็ต้องเป็นคนนี้

ยอมรับว่าตอนนั้นผมไม่ประสาในเรื่องรักนัก จึงฝักใฝ่ในฝ่ายค้าน ไม่มั่นใจในรักของบ่าวสาว
จริงอยู่ ที่ว่าเวลาไม่เคยช่วยอะไรใคร (เลย)
และความรักก็เป็นเรื่องของคนสองคน (หรือ?)
คนที่เคยแน่วแน่และเชื่อในรัก ณ ขณะนั้น เท่านั้นจึงจะซึ้งทราบ
ผมเดาเอาว่าเจ้าบ่าวคงคิดอย่างนั้นจริง และอิงกับรักปักใจ
แต่เรื่องการ ‘ยืนระยะ’ นั่นก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ และจะหลงลืมไม่ได้เช่นกัน

ความสัมพันธ์เป็นเรื่องเปราะบาง
ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งเปราะขึ้น และยิ่งบางลง
โดยเฉพาะกับความสัมพันธ์ในยุคสมัยที่ไร้ซึ่งโทรเลข
เท่าที่ทราบ (ด้วยความเคารพอีกครั้ง— ขอย้ำว่าเท่าที่ทราบจริงๆ) ส่วนมากเป็นลักษณะความสัมพันธ์แบบชิลล์ชิลล์ผิวเผิน
เหมือนพลุ
ตื่นตาจุใจในช่วงแรก ทว่าไม่ช้าไม่นานก็จางหายสลายไปกับลมฟ้าอากาศ

ความรักของศรัณย์และดรุณีไม่ใช่พลุ แต่เป็นเหมือนต้นไม้
และก็น่าจะเป็นพรรณไม้ประเภท ‘ไม้มงคล’
เหมือนต้นกันเกลาที่ปลูกให้ร่มเงาอยู่หน้าเรือนหอของทั้งสองนั่นแหละ
ต้นไม้จะเติบโตได้นั้นต้องหมั่นคอยดูแลรักษา และเอาใจใส่กันและกัน
ค่อยๆ ทะนุถนอมและประคับประคองอย่างสม่ำเสมอ
ต้องรดน้ำ, พรวนดิน, ต้องรดน้ำ, พรวนดิน, ต้องรดน้ำ
และก็ยังต้องรดน้ำอีก และพรวนดินอีก
ตัดแต่งทำความสะอาดกิ่งก้านใบและใส่ปุ๋ยกันอยู่หลายเดือนปี
เมื่อในยามที่ไม้ต้นนั้นเติบใหญ่สมบูรณ์แข็งแรง
มันจะผลิดอกออกใบสดสวยช่วยสร้างร่มเงากันแดดลมให้แก่ที่อยู่อาศัย และเสริมส่งความเป็นสิริมงคลกับชีวิตคู่ให้งอกเงยงดงาม
ขจรกลิ่นหอมหวลอบอวลในทุกวี่วัน

รักของศรัณย์มันเป็นอย่างนั้น

5 comments:

เบ said...

ที่นึ่งซาลาเปา

babyshampoo said...

ความรักในมุมมองของข้าพเจ้าเริ่มมืดดำลงทุกวัน

จันทร์ฉาย said...

เรื่องบางเรื่องก็ไม่ต้องใช้เวลา ใช้ใจเท่านั้น ใจเท่านั้นที่เป็นตัวตัดสิน

Anonymous said...

รัก
แล้ว
รอหน่อย...

Anonymous said...

หือ อ่านแล้วรู้ซั้งอะ เรื่องโพ้ง เรื่องพลุอะ รู้จริงนะคนนี้