10/26/2011

50/50

..เสียใจ คุณมาช้าไป 2 ปี
พ่อหนุ่มตรวจตั๋วเลือดหงส์ที่เฮ้าส์ราม่าบอกกับเราว่าอย่างนั้น
ค่ำนี้มีศึกวันแดงเดือดเลือดสาดระหว่างหงส์แดงและผีแดงบนเกาะอังกฤษโน่น แน่นอน ผมรู้ได้ไม่ยากจากการแต่งกาย

ความจริง เราสายกันไป 15 นาที ด้วยระบบขสมก. ซึ่งอยู่ในการคาดเดา เราก็ได้เผื่อใจกันไว้แต่แรกอยู่แล้ว แต่หนังของที่นี่นั้นฉายตรงเวลา ไม่มีมหากาพย์โฆษณาเยิ่นเย้อยืดเยื้อในช่วงต้นแต่อย่างใด และหนังเรื่อง One Day ที่เราตั้งใจจะไปดูกันก็ดำเนินเรื่องเป็นแต่ละปีๆ ในช่วงชีวิตของคู่พระนาง (เนื้อเรื่องโดยย่อกล่าวไว้แบบนั้น) เราจึงอาจจะปะติดปะต่อช่วงหัวละท้ายของเรื่องโดยรวมไม่ได้อย่างถูกต้องนัก นายตั๋วเลือดหงส์จึงไม่แนะนำให้เราไปเริ่มเรื่องกับในปีที่ 3 ในโรง -- ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้

ดังนั้นเราจึงมองหาหนังเรื่องอื่นที่ยังอยู่ในโปรแกรมกันแทน
และ 50/50 (Fifty/Fifty) คือคำตอบสุดท้ายของเราในบ่ายนั้น

.........

มีคำกล่าวซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่ประมาณว่า อะไรที่นอกเหนือการคาดหวังแล้วนั้น มักจะมาเหนือความคาดหมายเสมอ และร้อยทั้งร้อยจะเป็นไปในทางที่ดี (งงไหม-ซับซ้อนไป?-ไม่ใช่มะ)
หลังออกมาจากโรงผมกล้าพิมพ์บอกผ่านระบบโซเชียล เนตเวิร์กได้ทันทีเลยว่า 50/50 นั้นเป็นหนังที่ดูสนุกมาก หนังฟอร์มเล็กดีเยี่ยมของแท้ แต่ติดตรงที่ยังดันใช้โนเกียรุ่นตกพื้นหกครั้งไม่พังอยู่ จึงจำต้องสะกดอารมณ์พลุ่งพล่านนั้นไว้ก่อน ทำได้แต่ดุ่มเดินอย่างงุ่นง่านไปดูใบปิดหนังอย่างตั้งใจอีกที

หนังเล่าเกี่ยวกับการตรวจพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งของพระเอกโดยสุดวิสัย ทั้งที่ไม่ใช่คนสูบบุหรี่ขี้เหล้า แยกขยะในทุกครั้งที่ทิ้งและไม่เคยวิ่งจ็อกกิ้งฝ่าไฟแดง ชีวิตประจำวันอยู่ในครรลองของสังคมเสมอ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้รอดปลอดภัยหากเจ้าโรคร้ายที่ว่าจะแวะเวียนมาเคาะประตูเพรียกหา

โอกาสตายและหายมีอยู่ครึ่งต่อครึ่ง
ชีวิตที่เหลืออยู่จะวางแผนแบบไหน อย่างไร และกับใคร

มีหลายหลากแง่คิดที่ติดหัวออกมาจากโรง โดยเฉพาะกับเรื่องของไอ้เพื่อนตัวแสบของพระเอก มันทำให้ผมรู้แจ้งกระจ่างว่าความสัมพันธ์ของมิตรแท้นั้น 'ลึก' และ 'ซึ้ง' มาก หากเรามองออก มองเป็น ด้วยใจที่เย็นและกว้างพอ

อีกหนึ่งในไอ้ที่มันติดหัวผมออกมาจนต้องบอกเล่าสู่กันอีกต่อก็คือ
สำหรับใครก็ตามที่เชื่อ และมั่นใจว่าในช่วงที่เหลืออยู่ของชีวิตจะสามารถหยัดยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้โดยยึดมั่นหนักแน่นแล้วละก็ คุณยังมีเวลาและสิทธิลองคิดใหม่อีกที - ผมขอยกมือทัก
เพราะในยามเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาแล้วนั้น ไอ้การจะนั่งรอรถโดยสารกลับบ้านหลังออกจากโรงหมอเองคนเดียวมันคงไม่ใคร่สนุกนัก และอาจจะเป็นการรอคอยที่ยาวนานเกินไปกระมัง..

แต่ก็นั่นแหละ
โอกาสที่คุณจะคิดถูกกับสิ่งที่ผมบอกไปมันก็มีพอๆ กัน
คือ 50/50

4 comments:

ทิดต่อ said...

เวลาที่คุณไม่สบายมากๆ นอนแบ็บอยู่บนเตียง
คุณอยากนอนอยู่คนเดียวหรือกำลังเฝ้ารอคนมาเยี่ยม?

1306ix said...

คิดถึงคอมเมนต์มึงชิบหายเลยครับไอ้คุณทิด

DRWIT said...

ลิลลี่ ยังไม่ได้ตอบคำถาม ของคอมเม้นท์อันแรกเลยครับ อิอิ

1306ix said...

แน่นอนว่านอนรอครับ
ใครก็ตาม ใครก็ได้ เปิดประตูเข้ามาที
^^