3/15/2010

Confession of pain

ใครๆ ก็รู้ว่าคืนวันเพ็ญที่จันท์นั้นสวยแค่ไหน

เอาใหม่— ผมคงต้องเขียนว่า
ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าคืนวันพระจันทร์เต็มดวงที่ไหนในเมืองไทยที่สวยที่สุด ผมก็จะแอบกระซิบบอกให้ก็ได้ว่า “จันทบุรี” ไงล่ะ
ที่ที่จะทำให้คุณประทับใจไปกับคืนขึ้น 15 ค่ำ
อีกอย่าง—สีสันของจันทร์ที่นี่ก็แตกต่างลิบลับกับ “เหลืองจันทร์” ที่เจ๊ร้านทำเสื้อยืดจะใช้ถามคุณเวลาที่คุณต้องการเลือกใช้สีเหลืองสกรีนลงบนเสื้อยืดว่า “เหลืองจันทร์” รึเปล่า เพราะมันนวลตากว่าแบบเทียบกันไม่ติด

นี่ไม่ได้โม้ หรือสำนึกรักบ้านเกิดแล้วมาเขียนส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับจังหวัดตัวเองแต่อย่างใดนะ
หรือคุณจะไปดูจันทร์เต็มดวงที่กาฬสินธุ์ล่ะ!

So better come back to “City of Moon”
(เอาล่ะ กลับมาที่จันทบุรีดีกว่า)
อย่างที่บอก
ผมและบาบาร่าห์ลงมาที่นี่เพื่อสิ่งนี้
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันหยุด และเป็นวันพระใหญ่ที่ดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ คือตรงกับวันเพ็ญเดือน 3

เนื่องจากเราตั้งใจกันไว้ว่าจะไปร่วมพิธีเวียนเทียนที่วัดแถวบ้านผมตอน 2 ทุ่ม
และยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงในช่วงเย็น
เหมือนแม่ของเธอ— บาบาร่าห์ชอบเดินตลาด
จะเล็กจะใหญ่ ถ้ามันคือตลาด เธอ (และแม่ของเธอ) แวะหมด
ผมจึงจัดการพาเธอซ้อนท้ายมอเตอร์ไซส์เก่าๆ ที่บ้าน และพาขี่รถเที่ยวในยามแดดร่มลมตก
เป้าหมายคือย่านตลาดเก่าริมน้ำท่าหลวงในเมือง ต่อด้วยใกล้ๆ กันกับอาสนวิหารวัดโรมันคาทอลิกสุดแสนวิจิตร ที่เพิ่งฉลองครบ 100 ปี ไม่เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว และปิดท้ายเส้นทางท่องเที่ยวเบาๆ ของเราด้วยบริเวณรอบๆ ตลาดน้ำพุ ซึ่งในทุกเย็นย่ำวันอาทิตย์แบบนี้ ทางจังหวัดได้จัดเป็นถนนคนเดิน ให้ใครต่อใครได้เดินเล่นชมช้อปฯ

บรรยากาศยามเย็นต้นฤดูร้อนวันนี้ดีเอามากๆ
ระหว่างทางจากบ้านเข้าไปในตลาดจันท์ มีพุ่มพวงของลมแล้งเหลืองลออสะพรั่งตัดกับเขียวสดของใบไหวลู่เล่นกับลมเย็นๆ ทั้ง 2 ฝั่งไปมา บางช่วงก็มีสีชมพูจางๆ ของตะแบกแทรกขึ้นมาบ้าง ทำให้วิวข้างทางของเรานั้นเจริญหูเจริญตายิ่ง
และนี่เป็นคำตอบเดียวของผมหากจะมีใครถามว่าชอบฤดูร้อนตรงไหน

แล้วช่วงเวลาแห่งความสุขก็ล่วงผ่านไปพร้อมๆ กับการร่วงหล่นอย่างสวยงามของดวงอาทิตย์สีแดงก่ำที่ลาลับลงหลังเหลี่ยมเขาสระบาป
พอฟ้ามืดเราก็เตรียมตัวกลับบ้านด้วยเห็นสมควรแก่เวลา
แม่ผมคงเตรียมอาหารเย็น (ร้อนๆ) ไว้ให้ทานเรียบร้อยแล้ว
ถ้าผมเดาไม่ผิด และแม่ไม่พลาด— หนึ่งในรายการอาหารค่ำนี้ต้องมีกะพงทอดน้ำปลาที่ผมชอบเป็นแน่แท้
เราขี่มอเตอร์ไซส์กลับบ้านด้วยใจที่เบิกบานพร้อมด้วยตะกร้าหวายใส่ผ้าของผม, เสื้อมือสองของบาบาร่าห์ และถุงขนมไข่ 3 ถุงที่เราเลือกซื้อหามาจากถนนคนเดิน

แล้วผมก็พลาด!

หากจะนับว่าเป็นความผิด ก็คงเป็นเรื่องที่ผมชี้ชวนให้เธอผินหน้าไปดูจันทร์กระจ่างสวยดวงกลมโตที่อวดโฉมฉายแสงอยู่บนฟ้า เพียงเท่านั้น
และนั่นทำให้ผมซึ้งทราบ
ความสวยงามมักอำพรางการนำมาซึ่งความเจ็บปวดเสมอ

ทุกๆ อย่างเกิดขึ้นเร็วมาก
รถคันนั้นพุ่งเข้ามา
รถเจ้ากรรมคันนั้นพุ่งสวนเลนเข้ามาหา
เราประสานงากันอย่างจัง
ผมและบาบาร่าห์กระเด็นหลุดจากรถ และต่างค่อยๆ ทิ้งตัวลงกระแทกกับพื้นถนน
ตะกร้าหวายและถุงข้าวของกระจัดกระจาย
ผมได้แผลถลอก และเจ็บปวดตามตัว
เสื้อเลอะเปรอะไปด้วยฝุ่น และรอยเลือดที่ไหลซึมออกมาจากบาดแผล
พยายามรวบรวมสติแล้วลุกขึ้น
ท้องไส้ปั่นป่วนอย่างรุนแรง ส่งผลให้สำรอกความสุขเมื่อช่วงเย็นออกมาจนสิ้น
หันไปมองบาบาร่าห์ด้วยความเป็นห่วง เธอนอนนิ่งอยู่ไม่ไกลนัก
ถือว่าโชคยังเข้าข้างเราอยู่บ้างที่ไม่มีรถใหญ่วิ่งตามหลังมาในตอนนั้น
หัวเธอคงฟาดกับพื้นถนน จึงทำให้เธอสลบไป
ผมรุดเข้าไปประคองร่างเธอไว้ ร้องเรียกและเขย่าปลุกเธอให้ตื่น

บริเวณนี้ไม่มีแสงไฟทางริมถนนให้ความสว่าง
จึงทำให้เราไม่สามารถมองเห็นอะไรต่ออะไรได้ถนัดถนี่นัก
มีเพียงความสว่างบางๆ จากแสงจันทร์ที่คืนนี้เธอนวลผ่องเต็มที่อยู่เบื้องบนเท่านั้นเอง ที่พอจะทำให้ผมมองเห็นเรื่องราวคร่าวๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้น เงาสลัวไหวของลมแล้งริมทาง รวมถึงใบหน้าที่นิ่งงันของเธอในอ้อมแขน

แม้ไม่ชัดเจน แต่ผมก็ดูออกว่าเป็นใบหน้าที่สงบเกินไป มันดูอิ่มเอมและมีความสุขเกินไป ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังใช้มืออันอ่อนโยนลูบกระหม่อมและร้องเพลงไพเราะกล่อมให้ฟังจนเธอนั้นหลับไหลดิ่งลึก.. เกินไป
ผมเงยหน้ามองย้อนแสงขึ้นไป แล้วนึกถึงบทเพลงสมัยยังเยาว์

จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกง ขอแหวนทองแดง ผูกมือน้องข้า...

จันทร์เอ๋ย.. คืนนี้ผมไม่หิวเลยสักนิด
ไม่อยากขอข้าวขอแกง หรือแหวนทองแดงใดๆ
หากมีสิ่งที่พอจะขอได้จริง

ผมอยากขอโทษ

4 comments:

Shade Of..... said...

ให้อภัยแล้วคร้าบ...เขียนซะ

babyshampoo said...

โอ้... คุณช่างโหดร้ายกับบาบาร์ร่าน้อย

Unknown said...

"เหมือนแม่ของเธอ— บาบาร่าห์ชอบเดินตลาด
จะเล็กจะใหญ่ ถ้ามันคือตลาด เธอ (และแม่ของเธอ) แวะหมด"

Anonymous said...

บาดลึกในอารมณ์...