8/02/2011

นัดกับณัฐ

เป็นวีกที่ว่างมาก
ต่อให้สามเท่าของกว๊านพะเยาก็ไม่ใกล้เคียงความว่างจันทร์ถึงพฤหัสฯ ที่ผ่านมาของผม งานที่นัดหมายไว้ทุกชิ้นถูกยกเลิก เพราะบ้านเมืองมีมรสุมเข้ารุมเร้า ฝนตกตลอดตลอด ตกตลอดแบบ Non-Stop ทั้งวันทั้งคืน พลอยทำให้เช้าตรู่ที่ตั้งใจจะออกไปจ๊อกกิ้งเตรียมพร้อมสำหรับมาราธอนในอีกสองอาทิตย์ที่จะถึงของผมก็เป็นหมันอีกครั้ง (เอ่อ.. มินิน่ะ มินิมาราธอน)

เฮ้อออ... ถอนปิดบัญชีหายใจกันไปเลย

มหกรรมความว่างงานดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงวันสุดท้ายของสัปดาห์
มันจึงเป็นศุกร์ที่เซ็งถึงขีดสุด ผมตัดสินใจโทร.ไปลางานเอาดื้อๆ หนึ่งวันโดยให้เหตุผลไปว่ากล้ามเนื้อน่องอักเสบ (จะไปอักเสบตอนไหนก็ให้ทางน้องฝ่ายบุคคลเขาจินตนาการเอาเองเถิด) กลั้นใจนั่งรถไฟฟ้าเลยผ่านสำนักงานไปยังหมอชิต จับตั๋วรถทัวร์มุ่งหน้าสู่บุรีรัมย์ในเที่ยวสายของวันเพื่อจะได้ไปถึงที่นั่นในเวลาเย็น ไม่มีอะไรมากไปกว่าแค่อยากดื่มกับ’จารย์ณัฐสักขวด สองขวดในยามย่ำค่ำ เพื่อนเก่าผมมาเป็นอาจารย์มหา’ลัยอยู่ที่นั่น

แล้วล้อก็หมุนบดไปบนถนนซุปเปอร์ไฮเวย์สายมิตภาพ
ผมนั่งหลับๆ ตื่นๆ ฟังเพลงลูกทุ่งรวมฮิตที่เปิดกล่อมบนรถมาเรื่อยๆ
ระหว่างทาง พอเคลิ้มตื่นขึ้น (ส่วนใหญ่จะหลับ) และทอดสายตาออกไปข้างนอกบานกระจกหน้าต่าง ถึงไหนบ้างแล้วนั้นผมก็ไม่อาจบอกได้ กับอีสาน— ผมเดียงสาเกินไปที่จะระบุพิกัดให้แน่ชัดลงไป รู้แต่เพียงว่าพอตื่นขึ้นมาทีไรนั้นก็จะเห็นผืนนาเขียวๆ ของทั้งสองข้างทางอยู่ไม่ขาด สีขจีของข้าวฉ่ำฝนที่นี่ดูแล้วสบายตากว่าเขียว RGB ที่เจออยู่ทุกวี่วันเยอะเลย

หกชั่วโมงไม่ขาดไม่เกินผมก็มาถึง
’จารย์ณัฐขี่มอเตอร์ไซค์คันงามมารับตามที่นัดแนะไว้ ผมโทร.ไปบอกว่าจะมาหาและเวลาที่จะมาถึงหลังจากที่ขึ้นรถทัวร์เรียบร้อยแล้ว มันโฉบมาช้อนผมซ้อนท้ายเข้ามอ. ดิ่งตรงไปสนามบอลข้างคณะฯ ที่มันสอน แหมะผมลงนั่งจุ้มปุ๊กบนม้านั่งข้างสนามดูฟุตซอลนัดชิงชนะเลิศที่ลูกศิษย์ในสาขามันเตะ
“นี่ทีมกูเอง” มันหันมายืนยันผมสั้นๆ แบบนั้นแหละ

ในเกมส์นัดชิงฯ คนเตะก็เตะกันตากฝน คนเชียร์ก็เชียร์กันตากฝนนั่นแหละ
แต่ ณ ขณะนี้ใจปอนๆ ของผมอยู่ในอารมณ์อยากจะเปียก
ฟ้าฝนที่นี่สดชื่นและเป็นกันเองกว่าเมืองที่เพิ่งจากมาเปอะเลอะเยอะแยะ

สกอร์จบที่สามประตูต่อหนึ่ง
ทีมเราเป็นฝ่ายชนะและรักษาแชมป์ไว้ได้อีกครั้ง
ช่าย— ปีที่แล้วทีมมันก็เป็นแชมป์

เสร็จจากพิธีมอบถ้วยเราก็ยกโขยงกันไปดื่มฉลองชัยชนะเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่นั่นกันที่บ้านพัก’จารย์ณัฐในการเคหะฯ ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากมอ. ขี่รถไปไม่เกินสิบนาทีก็ถึง หรือถ้าจะลองวิ่งหรือเดิน ก็คงไม่ถึงกับทำให้น่องเราอักเสบได้หรอก (ฮา)
ไม่มีช่องว่างระหว่าง’จารย์ณัฐกับลูกศิษย์ที่กว้างนัก
เราจึงก้าวข้ามผ่านชานชาลากันไปมาได้โดยไม่ตกหล่นหายกันไปกลางทาง
ที่คิดไว้ในทีแรกว่าขวด สองขวด ก็กลายเป็นลัง สองลัง
จากเช้าวันศุกร์สุดเซ็งก็กลายกลับเป็นคืนชื่นมื่นแห่งการเฉลิมฉลองเสียอย่างนั้น

’จารย์ณัฐเขาจัดให้น่ะ
ผมเพียงแค่ออกลูกเกเรเล็กน้อยในวัยที่โตเป็นควายแล้ว
ก็เท่านั้น

No comments: