5/22/2007

Bangsan Drift


- ฉากแรก -

อาทิตย์ก่อนเรียวกังโทรมาชวนไปบางแสน บอกว่าเบบี้บูมกับคณะจะไปหา
ถ้าว่างให้ตามไป
ผมตอบตกลงเรียวกังกลับไปทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด ซึ่งทุกครั้งที่มีใครชวนไปบางแสน ถ้าไม่โดนฉุดดึงด้วยงาน หรือมีธุระผมมักไม่พลาดทริปบางแสนอยู่แล้นน... (เพลงประกอบภาพยนตร์ Tokyo Drift ขึ้น ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง ตึง ตื๊อ ตึ่ง... )

จริงๆ ผมกับบางแสนนั้นถือว่าเข้าขั้นสนิทสนมแนบแน่นกันมากอยู่ เนื่องจากผมไปเรียนรู้การใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยอยู่ที่นั่นเสียกว่าสี่ปี การกลับไปบางแสนทีไรก็เหมือนว่าได้กลับบ้าน รู้สึกผ่อนคลายสบายใจในทุกๆ ครั้งที่คุณพี่โชเฟอร์รถโดยสาร (กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นผมมักจะเดินทางมาที่นี่โดยรถโดยสาร) หักพวงมาลัยเลี้ยวขวาเข้าบางแสนจากแยกแกแล็กซี่
บรรยากาศของการร่ำสุราริมหาดมันช่างสุนทรีย์อย่างที่สุด you know?

- ฉากที่สอง -

“เดี๋ยวพาไปกินต้มเลือดหมูเทพ”
พ่อค้าขายผักผู้เคยคร่ำหวอดอยู่บางแสนเช่นเดียวกับผมซึ่งตามมาทีหลังโพล่งออกมากลางวงที่ยังเต็มไปด้วยของกินจนล้นวง ทั้งกุ้งเต้น ปลาหมึกย่าง
ถั่วปากอ้า และต้มแซ่บกระดูกหมู ฯลฯ
“..ม่าย..หวาย..แล้ว..”
อดีตพลทหารหนึ่งในคณะทัวร์ตอบทั้งคำพูดและร่างกายที่เห็นพ้องกันกับวลีที่เพิ่งเอ่ยออกไป พร้อมทิ้งกายลงบนโขดหินเหมือนเพิ่งถูกจำหน่ายจากการฝึก

ในขณะที่คณะทัวร์ที่เหลือยังมีพลังสำรองนั่งกินดื่มกันต่ออย่างเมามันส์ (นี่คือที่มาของคำๆ นี้ คือทั้งเมา และมันส์) จนฝนต้องไล่เรากลับอย่างที่ห้ามมีการอ้อยอิ่งใดๆ ทั้งสิ้นราวตีหนึ่งเศษ เป็นอันสมควรแก่เวลาพอดี แต่ดูเหมือนพี่พ่อค้าขายผักจะพลาดอาหารชั้นเทพที่นำเสนอ
“ขอบคุณฝน” ผมเดาว่าอดีตพลทหาร และอีกสองสามคนคงคิดในใจ

คณะทัวร์ครั้งนี้เริ่มภารกิจ (หรือถ้าจะให้ถูกน่าจะเรียกว่า “กิจภาระ” อันหมายถึงกิจที่เป็นภาระ จะเหมาะกว่า) การซดเบียร์ตั้งแต่ตะวันยังไม่จมน้ำทะเลที่ชายหาด จากนั้นพอฟ้ามืดจึงเคลื่อนทัพสู่ร้านอาหารริมหาดตรงเชิงเขาสามมุก ซึ่งนำทัพโดยเด็กผีสองท่าน เป้าหมายของกิจภาระครั้งนี้คือเกมฟุตบอลคู่ชิงชนะเลิศเอฟ เอ คัพที่ปีศาจแดงจะฟัดกับสิงโตสีน้ำเงินครามที่สนามเวมบรีย์ใหม่ในกรุงลอนดอนเมืองผู้ดีประเทศอังกฤษ

ผลการแข่งขันที่ออกมาทำให้ผู้ขับซึ่งเป็นเด็กผีเซ็งไปเลย เพราะทีมรักโดนไอ้แมงสาบดร๊อกบา กระดกบอลอย่างเหนือชั้นจากการเล่นหนึ่งสองกับแลมพาร์ท ข้ามตัวเอ็ดวิน ฟาน เดอซาร์ ประตูผี (ที่ไม่ใช่ผัดไทย) เข้าไปในช่วงครึ่งหลังของการต่อเวลาพิเศษ
“!!#$##%&!!!”
ผู้ขับบ่นอุบพร้อมกับซดเบียร์ที่ผ่านการกดจากแท้ปที่สามของคืนตาม พลางเคี้ยวกับแกล้มรสเด็ดประจำร้านที่มีชื่อกวนบาทาว่า “ขออีกจาน” (ซึ่งเอาเข้าจริงๆ น่าจะตั้งไว้เพื่อกวนตีนเด็กเสิร์ฟกันเองมากกว่าลูกค้า)
พอบอลจบคณะทัวร์จึงเคลื่อนย้ายกองกำลัง (เมา) ไปยังหาดวอนฯ
ปลายทางของคนเมา

- ฉากที่สาม (ฉากสุดท้าย) -

แสงแดดลอดสอดเข้ามาในห้อง ทำให้ผมตื่นฟื้นตัวเองจากพื้นห้องสี่คูณสี่ที่นอนอัดกันอยู่เจ็ดหน่อ (ที่ใช้หน่อเพราะเป็นชายฉกรรจ์ล้วนๆ!!) สู่เช้าวันอาทิตย์
ไม่นานนักเรียวกัง, เบบี้บูม, ชายว่างงานและอดีตพลทหารก็ทยอยกันเปลี่ยนสถานะจากผู้หลับใหลมาเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานตามผมซึ่งเบิกบานอยู่ก่อนแล้ว เหลือเวรอนกับผู้ขับที่ยังคงหลับต่อ

หลังจากเรา (ผู้ตื่น ผู้เบิกบานทั้งหลาย) กลายเป็นผู้เบิกบานกว่าเก่าจากการเข้าห้องน้ำล่างหน้าล้างตากันเสร็จแล้วก็ได้เวลาย้ายก้นไปหย่อนที่ชุดโต๊ะม้าหินที่แหลมแท่นเพื่อกินกาแฟกัน (ใช้กินได้อารมณ์กว่าทานเยอะเลยเนาะ) แม้จะสายกว่าที่ตั้งใจไปนิดหน่อยแต่ยังถือว่ายังอนุโลมเรียกว่าอยู่ในช่วงเช้าได้

กาแฟร้อนกับไข่ลวกสี่ชุด ร่วมด้วยชาร้อนหนึ่งแก้ว คืออาวุธคู่ปากเราในการร่ายบทสนทนาต่างๆ นานา ทั้งเรื่องเพื่อนพ้อง, การท่องเที่ยว, ข่าวชาวบ้าน, งานศิลปะ, พระเครื่อง รวมถึงเรื่องเพศ ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยแลกแปลี่ยนทัศนะกันบนโต๊ะม้าหินตัวนั้น

บทสนทนาเช้าวันนั้นมันช่างออกรสดีจริงๆ

1 comment:

Anonymous said...

You reminded me of our Bangsean memories!!! I miss Bangsean so bad!