11/09/2007

เรื่องราวก่อนซินจ่าว


อากาศภายนอกค่อนข้างเย็นสบาย คงเพราะเม็ดฝนที่พร้อมใจกันเริ่มโปรยปรายอย่างพร้อมเพรียง ตามที่แม่หมอพยากรณ์อากาศได้แจ้งไว้ และในค่ำคืนฝนพรำฉ่ำเย็นเช่นนี้คงไม่เหมาะนักกับการออกไปข้างนอกสักเท่าไหร่ หลายคนก็เลือกที่จะอยู่กับบ้าน หรือกับห้องสำหรับคนเมือง และทางเลือกหนึ่งในคืนฉ่ำๆ แบบนี้ บางคนก็เลือกที่จะนั่งลงตรงหน้าคอมพิวเตอร์ ปัจจัยที่ 6 ในยุคสมัยนี้ และ
‘ออนไลน์’ เพื่อหาเพื่อนสนทนา (Chat) แก้อาการกระสับกระส่าย และเพื่อการผ่อนคลาย ในโลกเสมือนจริงอีกใบที่คู่ขนานไปกับโลกจริงที่กำลังฉ่ำชื้นไปด้วยฝน ผมก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น ที่เลือกใช้บริการปัจจัยที่ว่านั่น

“พี่เคยไปเวียดนามป่ะ?”
Babyshampoo- หนึ่งในกลุ่มสนทนาของผมถามผ่านโปรมแกรมสนทนาอัจฉริยะ MSN Messenger ในกลางดึกคืนนั้น

“ไม่เคย” - ...
ผมตอบเธอกลับไปสั้นๆ แต่คำถามและบางสิ่งบางอย่างก็เริ่มก่อร่างและเกิดเป็นภาพขึ้นในหัวของผมอย่างจางๆ ในคืนนั้นทันทีหลังพิมพ์ข้อความตอบกลับไป

หรือจะได้เวลาเดินทางอีกสักที?- ต่อมบางอย่างในร่างกายยิงคำถามกับผม

สองสามปีหลังมานี้ ผมตั้งใจว่าจะต้องหาเวลาออกเดินทางไปในต่างแดนที่ตัวเองไม่คุ้นเคยอย่างน้อยก็ปีละครั้งตามคำสอนของท่านดาไล ลามะ (Dalai Lama) ข้อหนึ่งที่ผมแอบติดใจตรงที่ท่านว่า “จงหาโอกาสท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ที่คุณไม่เคยไป อย่างน้อยก็ปีละครั้ง” ที่ผมไปอ่านเจอเข้าในอินเตอร์เนตจากการส่งต่อๆ กันมาของจากรุ่นน้องคนหนึ่ง ซึ่งการย่ำไปในต่างแดนครั้งล่าสุดมันก็เมื่อปีที่แล้วที่เดินทางไปเที่ยวที่หลวงพระบางมา ความสงบและสวยงามที่นั่นยังคงอยู่ในความทรงจำมิรู้ลืมจนถึงทุกวันนี้

คืนนั้นหลังจากบทสนทนาเกียวกับเวียดนามจบลง ต่อมบางอย่างในร่างซึ่งเป็นต่อมเดียวกับที่ยิงคำถามใส่ผมก็เริ่มทำงานอีกครั้งโดยการกระตุ้นเตือนให้ผมเก็บกระเป๋าเตรียมตัวออกเดินทางได้แล้ว!

.........

จากนั้นไม่นานตั๋วเครื่องบินราคาย่อมเยา จากโปรโมชั่นศูนย์บาทของสายการบิน Thai Air Asia ฮานอย - กรุงเทพฯ เที่ยวกลับ ก็มาอยู่ในมือผมเรียบร้อยจากการสนับสนุนด้วยหมายเลขบัตรเครดิตของพี่สาว เพราะผมไม่มี และก็ไม่คิดที่จะมีบัตรเครดิตด้วย เนื่องจากประเมินตัวเองแล้วพบว่าไม่มีความสามารถพอที่จะครอบครองเป็นเจ้าของไอ้เจ้าบัตรที่ว่านั่น (ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ ผมก็คงไม่เลือกใช้บริการเงินอนาคตแบบที่ว่าแน่ๆ) จึงเห็นจำเป็นต้องขอตัวช่วย

“แล้วไม่จองเที่ยวไปด้วยเลยเล่า?” พี่สาวเจ้าของหมายเลขถามผมเพราะฉงนกับการที่ผมวานให้จองเที่ยวกลับอย่างเดียว
“จะนั่งรถไปเรื่อยๆ” ผมตอบไปแบบนั้นแต่ในใจมีคำตอบที่ยาวกว่านั้น

มันดูง่ายไปนิด หากบินไปแล้วก็บินกลับ ผมว่ามันขาดระหว่างทางไป อีกอย่างนักเดินทางที่ดีย่อมไม่ย้อนรอยเดิม ผมได้ฟังคำบอกสอนมาแบบนั้น

ก็แค่นั่งรถไปเรื่อยๆ เพื่อขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ จากที่โน่นให้ได้ ง่ายๆ แค่นั้น

“เห็นเขาว่าช่วงนั้นพายุจะเข้าเวียดนามนะ” พี่สาวทักผมอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง และยังคงฉงนและงงงวยกับการจองตั๋วของผมอยู่
“ไม่เป็นไรครับ โชคร้ายหน่อยก็แค่เปียก” ผมตอบทีเล่นทีจริงกลับไป
“ตามใจ เที่ยวให้สนุกแล้วกัน” ดูท่าพี่สาวคนสวยคงขี้เกียจถามผมต่อ

แน่นอนครับ- มันต้องสนุกแน่ๆ ในเมื่อต้นทุนผมเริ่มจากศูนย์อยู่แล้ว

ลุยกันแบบตัวต่อตัว ฟ้าฝนไม่เกี่ยว!

1 comment:

Anonymous said...

ระหว่างทาง
เรื่องราวที่งดงาม